Short Position (Sell) คืออะไร
“Short Position” หรือ “Sell Short” คือการขายหลักทรัพย์ที่คุณไม่มีในมือ ด้วยความหวังว่าราคาของหลักทรัพย์นั้นจะลดลงในอนาคต การทำ Short Position ต่างจากการขายหลักทรัพย์ที่คุณมี (Long Position) โดยสารเข้าใจว่าคุณจะได้กลับมาซื้อหลักทรัพย์นั้นๆ อีกครั้งในอนาคตเพื่อ “ปิด” หรือ “Cover” การ Short ของคุณ
![short position (sell) คืออะไร short position (sell) คืออะไร](http://www.yincuofu.com/wp-content/uploads/2023/08/51.short-position-sell-คืออะไร.png)
ทำไมถึงเรียก Short
คำว่า “Short” ในบริบทของการลงทุนหรือการเทรดหลักทรัพย์ มาจากความหมายที่ว่า “ขาด” หรือ “ไม่เพียงพอ” ในที่นี้หมายถึงการที่ผู้ลงทุนขายหลักทรัพย์ที่ตนเองไม่มีอยู่จริง หรือ “ขาด” หลักทรัพย์ที่ต้องการขาย ทั้งนี้เพื่อทำกำไรจากการที่ราคาหลักทรัพย์นั้นจะลดลงในอนาคต
เมื่อผู้ลงทุน “Short” หลักทรัพย์ พวกเขาจะต้อง “ยืม” หลักทรัพย์นั้นจากผู้ที่มีหลักทรัพย์นั้นอยู่แล้ว (โดยปกติจะเป็นผ่านบริษัทบริหารจัดการสินทรัพย์หรือผ่านแพลตฟอร์มการเทรด) เพื่อขายในตลาด แล้วซื้อกลับมาเมื่อราคาหลักทรัพย์ลดลง ก่อนที่จะคืนหลักทรัพย์นั้นให้กับผู้ที่เขายืมมา เนื่องจากการที่คุณ “ขาด” หรือ “ไม่มี” หลักทรัพย์ที่ขาย คุณจึงต้องยืมมาเพื่อขาย และนี่คือที่มาของคำว่า “Short”
การทำ Short Position (Sell) มีความสำคัญอย่างไร
- โอกาสในการทำกำไรจากตลาดที่ลดลง (Profit from Bear Market): การทำ Short Position ให้นักลงทุนสามารถทำกำไรจากตลาดที่ราคาของหลักทรัพย์หรือตราสารการเงินมีแนวโน้มลดลง (Bear Market) แทนที่จะสูญเสียโอกาสในการทำกำไรเมื่อตลาดลง
- ปรับสมดุลพอร์ตการลงทุน (Portfolio Diversification):การทำ Short Position สามารถเป็นส่วนหนึ่งของการปรับสมดุลพอร์ตการลงทุนให้หลากหลายขึ้น การขายขาดอาจช่วยลดความเสี่ยงที่เกิดจากการลงทุนแบบ Long Position ที่ราคาอาจลดลง
- การเฝ้าระวังตลาด (Market Vigilance):นักลงทุนที่ทำ Short Position มักจะต้องทำการวิเคราะห์อย่างละเอียดและติดตามข้อมูลใหม่ ๆ อย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้สูญเสียจากการวิเคราะห์ที่ไม่ถูกต้อง
- ให้สัญญาณทางการเงิน (Financial Signals):ปริมาณของ Short Position ในหลักทรัพย์บางตัวสามารถเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความมั่นใจหรือความไม่มั่นใจของนักลงทุนในตลาดหรือหลักทรัพย์นั้น ๆ
- สร้างความคล่องตลาด (Market Liquidity):การที่มีผู้ที่ทำ Short Position อยู่ในตลาดเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มความคล่องและปริมาณการซื้อขาย
- ใช้ในกลยุทธ์การลงทุนที่ซับซ้อน (Complex Investment Strategies):Short Position สามารถนำมาใช้ประกอบกับกลยุทธ์การลงทุนที่ซับซ้อน เช่น การลงทุนแบบ Long/Short หรือ Hedging ที่ใช้ควบคู่กับการลงทุนแบบ Long เพื่อลดความเสี่ยง
- ช่วยในการตรวจสอบราคา (Price Discovery):การทำ Short Position สามารถช่วยในการหาราคาที่เป็นธรรมของตลาด ด้วยการทำให้ราคาลดลงสู่ระดับที่สอดคล้องกับมูลค่าแท้จริงของหลักทรัพย์
ขั้นตอนการทำ Short Position (Sell Short)
การทำ Short Position (Sell Short) มีขั้นตอนหลักๆ ดังนี้
1. วิจัยและวิเคราะห์
-
- วิจัยหลักทรัพย์ที่คุณมีความสนใจที่จะ Short รวมถึงการวิเคราะห์ทางเทคนิคและพื้นฐาน
2. ตรวจสอบสภาพคล่อง
-
- ตรวจสอบว่าหลักทรัพย์ที่คุณต้องการ Short มีสภาพคล่องดีพอ และสามารถยืมได้จากโบรกเกอร์ของคุณหรือไม่
3. ตั้งค่าระดับความเสี่ยง
-
- กำหนดระดับ Stop Loss หรือวิธีการอื่นๆ ในการจัดการความเสี่ยง
4. สั่งยืมหลักทรัพย์
-
- ผ่านระบบการเทรดของคุณ สั่งยืมหลักทรัพย์จากโบรกเกอร์ ขั้นตอนนี้อาจมีการเสียค่าธรรมเนียม
5. ขายหลักทรัพย์ที่ยืมมา
-
- ทำการขายหลักทรัพย์ที่คุณได้ยืมมาในตลาด เพื่อรับเงินสดเข้ามา
6. รอและติดตามราคา
-
- ติดตามราคาและข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง หากราคาลดลงตามที่คาดหวัง คุณจะทำกำไร
7. ซื้อกลับมา (Cover)
-
- เมื่อคุณคิดว่าราคาหลักทรัพย์ต่ำถึงจุดที่คุณคาดหวัง ให้ซื้อหลักทรัพย์ขนาดเท่ากับที่คุณขายไป กลับมา (“Cover”) เพื่อปิด Short Position ของคุณ
8. คืนหลักทรัพย์และเรียกเก็บกำไร/ขาดทุน
-
- หลังจากที่คุณซื้อหลักทรัพย์กลับมา หลักทรัพย์นั้นจะถูกใช้ในการคืนให้กับผู้ที่คุณยืมมา และคุณจะได้เก็บเงินสดที่เหลือหลังจากค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในกรณีที่คุณทำกำไร หรือจะต้องเสียเงินในกรณีที่คุณขาดทุน
9. ปิดบัญชีและประเมินผล
-
- ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น อาทิ วิเคราะห์ที่คุณทำ, ขั้นตอน, หรืออื่นๆ ที่อาจเป็นประโยชน์สำหรับการเทรดในอนาคต
หมายเหตุ
-
- การทำ Short Position มีความเสี่ยงสูง คุณควรทราบดีว่าเป็นการลงทุนที่สามารถสูญเสียเงินได้ และควรใช้วิธีการจัดการความเสี่ยงอย่างระมัดระวัง
ยกตัวอย่างอธิบาย
ตัวอย่างการทำ Short Position (Sell Short)
-
- ยืมหลักทรัพย์: สมมติว่าคุณคิดว่าหุ้นของบริษัท A จะลดลงในอนาคตใกล้ๆ คุณจึงขอยืม 100 หุ้นของบริษัท A ผ่านบริษัทการเงินหรือโบรกเกอร์ที่คุณใช้งาน
- ขายหลักทรัพย์: คุณขาย 100 หุ้นที่ยืมมาในตลาดทันที ด้วยราคา $50 ต่อหุ้น รวมเป็นเงิน $5,000
- รอราคาหุ้นลดลง: หลังจากนั้นคุณรอจนกระทั่งราคาของหุ้นลดลง เป็น $40 ต่อหุ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณคาดหวัง
- ซื้อกลับมา (Cover): คุณซื้อ 100 หุ้นของบริษัท A กลับมาในราคา $40 ต่อหุ้น รวมเป็น $4,000
- คืนหุ้น: หลังจากซื้อหุ้นของบริษัท A 100 หุ้นที่ราคา $40 คุณจะคืนหุ้นที่ยืมไป 100 หุ้นให้กับโบรกเกอร์หรือผู้ที่คุณยืมหุ้นมา
- ทำกำไร: คุณได้รับกำไรจากความแตกต่างระหว่างราคาขายและราคาซื้อกลับ คือ $5,000 (จากการขาย) – $4,000 (จากการซื้อกลับ) = $1,000
สรุป
-
- การทำ Short Position มีความเสี่ยง ถ้าราคาของหุ้นของบริษัท A ไม่ได้ลดลงแต่ขึ้นเป็น $60 ต่อหุ้น คุณจะต้องซื้อกลับในราคาที่สูงขึ้น และจะเสียเงิน $1,000 ($6,000 – $5,000) แทนที่จะทำกำไร
- ดังนั้น การเลือกทำ Short Position ควรเป็นการตัดสินใจที่ระมัดระวังและอาจต้องใช้วิธีการจัดการความเสี่ยง เช่น การตั้ง Stop Loss ในการควบคุมการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น
ข้อดีและข้อเสียของ Short Position ( Sell Short)
ข้อดี
-
- โอกาสในการทำกำไรจากตลาดลง (Profit from Bear Market): คุณสามารถทำกำไรในช่วงที่ตลาดหรือหลักทรัพย์ที่คุณเลือกมีแนวโน้มลดลง
- ปรับสมดุลพอร์ต (Portfolio Diversification): การทำ Short Position สามารถช่วยลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนที่เน้นไปที่ Long Position หรือการลงทุนอื่น ๆ
- การ Hedging (การป้องกันความเสี่ยง): คุณสามารถใช้ Short Position เป็นวิธีการป้องกันความเสี่ยงจากการลงทุนแบบ Long ในตราสารที่คล้ายคลึงหรืออยู่ในซีกเดียวกัน
- ความคล่องในตลาด (Market Liquidity): การทำ Short Position มีส่วนในการเพิ่มความคล่องของตลาด
- สามารถใช้ในกลยุทธ์การลงทุนที่ซับซ้อน (Complex Investment Strategies): สามารถนำไปใช้ประกอบกับการลงทุนแบบ Long ในกลยุทธ์ที่ซับซ้อนเช่น Long/Short หรือ Market Neutral strategies
ข้อเสีย
-
- ความเสี่ยงที่สูง (High Risk): คุณอาจสูญเสียเงินมากกว่าจำนวนที่คุณได้ใช้ในการเปิด Short Position ถ้าราคาของหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง
- ต้นทุนจากดอกเบี้ย (Interest Costs): คุณจะต้องจ่ายดอกเบี้ยสำหรับหลักทรัพย์ที่คุณยืมมา Sell Short
- ข้อจำกัดและกฎระเบียบ (Regulatory Limitations): ในบางตลาด อาจมีข้อจำกัดหรือกฎระเบียบที่หนักหน่วงเกี่ยวกับการ Sell Short
- ความซับซ้อนในการจัดการ (Management Complexity): การทำ Short Position ต้องมีการวิเคราะห์และติดตามอย่างใกล้ชิด และอาจต้องปรับตำแหน่งอย่างรวดเร็วเมื่อตลาดเปลี่ยนแปลง
- ความเสี่ยงจากการถูก Forcibly Closed (Forced Liquidation): ถ้าหลักทรัพย์ที่คุณขายขาดมีการเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง คุณอาจถูกบังคับให้ปิดตำแหน่งของคุณทันทีที่ทำให้ขาดทุนรุนแรง
- ภาระเกี่ยวกับการจ่ายค่าเงินปัน (Dividend Obligations): ถ้าหลักทรัพย์ที่คุณ Sell Short มีการจ่ายเงินปัน คุณจะต้องจ่ายเงินปันนั้นให้กับผู้ที่คุณยืมหลักทรัพย์มา