ตลาดหมี Bear คืออะไร หมายความว่าอย่างไร ลักษณะตลาดหมี อธิบาย ยกตัวอย่าง

ตลาดหมี Bear คืออะไร

“ตลาดหมี” (Bear Market) คือคำที่ใช้ในวงการการเงินและการลงทุนเพื่ออธิบายสถานะของตลาดที่ราคาหลักทรัพย์หรือสินทรัพย์อื่น ๆ กำลังจะลดลงหรือมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยทั่วไปแล้ว ตลาดจะถือว่าเป็น “ตลาดหมี” เมื่อมีการลดลงของราคาหลักทรัพย์ในดัชนีหลักของตลาดจากระดับสูงสุดล่าสุด อย่างน้อย 20% หรือมากกว่า
ตลาดหมี Bear คืออะไร
ตลาดหมี Bear คืออะไร
ตลาดหมีมักจะเกิดจากหลายปัจจัย รวมถึง สถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่ดี การเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย ความไม่เชื่อมั่นในทางการเมือง หรือความรู้สึกของผู้ลงทุนที่เป็นลบ ในช่วงตลาดหมี ผู้ลงทุนมักจะขายหลักทรัพย์ของตนเพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ราคาหลักทรัพย์ลดลงอย่างรวดเร็วและสร้างวงจรที่ร้ายแรงขึ้น
นอกจากนี้ ตลาดหมียังมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม อาจจะส่งผลให้การลงทุนในธุรกิจหรือโครงการต่าง ๆ ลดลง ส่งผลให้มีการปรับลดจำนวนงานและส่งผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ
ทั้งนี้ “ตลาดหมี” เป็นสถานะของตลาดที่เป็นความปกติในวัฒนธรรมของตลาดทุน และมักจะเป็นช่วงที่ผู้ลงทุนที่มีประสบการณ์มองหาโอกาสในการซื้อหลักทรัพย์ที่มีคุณค่าดีในราคาที่ถูกลงไป

ที่มา ตลาดหมี Bear Market

ทำไมถึงเรียก bear market ว่า ตลาดหมี

    • คำว่า “ตลาดหมี” (Bear Market) ถูกสร้างขึ้นในภาษาอังกฤษเป็น “Bear ” และมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานในวงการการเงิน คำว่า “Bear ” แปลว่า “หมี” ในภาษาไทย และถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของตลาดที่มีแนวโน้มในการลดลงของราคาหลักทรัพย์ สินค้าหรือสินทรัพย์อื่น ๆ
    • คำว่า “ตลาดหมี” หรือ “Bear Market” มีที่มาจากพฤติกรรมของสัตว์ “หมี” ที่จะโจมตีเป็นลมหรือเคลื่อนที่ลงมา สื่อถึงราคาของหลักทรัพย์หรือสินทรัพย์ในตลาดที่มีแนวโน้มลดลง คำนี้ถูกใช้เป็นเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ที่เป็นขนานกับทิศทางของตลาด เนื่องจากวงการการเงินและการลงทุนเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพาสัญลักษณ์และภาษาที่ใช้กันอย่างแพร่หลายเพื่อสื่อสารอย่างรวดเร็วและชัดเจน การใช้คำที่สามารถสื่อถึงสภาพหรือแนวโน้มของตลาดได้ในรูปแบบที่ง่ายต่อการเข้าใจและจดจำเป็นสิ่งที่สำคัญ คำว่า “Bear Market” จึงได้รับการยอมรับและใช้กันอย่างแพร่หลายในวงการนี้

การใช้ในอดีต

    • การอ้างอิงถึงตลาด “หมี” ย้อนกลับไปหลายศตวรรษ ในลอนดอนในศตวรรษที่ 18 นักเก็งกำไรในตลาดการเงินมักถูกเรียกว่า “หมี” แนวปฏิบัติของ “การขายหมี” เกี่ยวข้องกับการขายทรัพย์สินที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของโดยคาดว่าจะซื้อคืนในราคาที่ต่ำกว่าในอนาคต โดยพื้นฐานแล้ว ผู้ขายมี “ภาวะหมี” ในสินทรัพย์ โดยคาดว่าราคาจะลดลง นี่คือสิ่งที่เราเรียกว่า “การขายชอร์ต”
    • นักประวัติศาสตร์บางคนยังชี้ไปที่ “คนขายหนังหมี” ซึ่งเป็นพ่อค้าคนกลางในการค้าหนังหมีในตลาดลอนดอน คนงานเหล่านี้จะขายหนังหมีก่อนที่จะมีจริงๆ โดยคาดเดาว่าพวกเขาจะซื้อหนังจริงได้ในภายหลังในราคาที่ต่ำกว่า แนวคิดนี้คล้ายคลึงกับการขายชอร์ตในยุคปัจจุบันและเป็นรูปแบบหนึ่งของการเก็งกำไรราคาที่ลดลง

การใช้งานสมัยใหม่

    • คำว่า “ตลาดหมี” ในสำนวนการเงินสมัยใหม่โดยทั่วไปหมายถึงสภาวะตลาดที่ราคาหลักทรัพย์กำลังตกต่ำ และการมองโลกในแง่ร้ายอย่างกว้างขวางทำให้ทัศนคติเชิงลบสามารถดำรงอยู่ในตนเองได้ ตามอัตภาพ ดัชนีดังกล่าวถูกกำหนดโดยการลดลง 20% หรือมากกว่านั้นในดัชนีตลาดในวงกว้างจากระดับสูงสุดล่าสุด
    • คำว่า “ตลาดหมี” หรือ “Bear Market” ใช้เพื่ออธิบายสถานการณ์ในตลาดหลักทรัพย์ที่ราคาหุ้นหรือดัชนีตลาดมีแนวโน้มลดลง โดยทั่วไปจะถือว่าเป็นตลาดหมีเมื่อมีการลดลงของดัชนีตลาดหลักๆ อย่างน้อย 20% จากจุดสูงสุดในระยะเวลาที่เรียกว่า “bull market” หรือกระทิง

ตลาดหมีในประวัติศาสตร์ที่สำคัญ

    1. สภาวะเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ (1929-1932): ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการพังของตลาดหลักทรัพย์วอลล์สตรีทในปี 1929 ดัชนี Dow Jones ลดลงถึง 90%
    2. วิกฤตน้ำมัน (1973-1974): ตลาดหมีนี้เกิดจากการเอ็มบาร์โก้น้ำมันของ OPEC ต่อสหรัฐและประเทศอื่น ๆ
    3. การระเบิดฟองสบู่ดอทคอม (2000-2002): ตลาดหมีนี้เกิดจากการล้มละลายของ “ฟองสบู่ดอทคอม” ที่ทำให้ดัชนี NASDAQ ลดลงถึง 78%
    4. วิกฤตการเงินโลก (2007-2009): เกิดจากวิกฤตการเงินในสหรัฐฯ และกระทบต่อตลาดทั่วโลก
    5. วิกฤติ COVID-19 (2020): ถึงแม้ว่าจะเป็นระยะเวลาสั้น แต่ตลาดหมีที่เกิดจาก COVID-19 มีความรุนแรงมาก

ลักษณะตลาดหมี Bear Market

ตลาดหมีมีลักษณะพิเศษคือราคาที่ลดลงเป็นเวลานานสำหรับสินทรัพย์บางประเภท ซึ่งอาจรวมถึงหุ้น พันธบัตร สินค้าโภคภัณฑ์ หรือแม้แต่อสังหาริมทรัพย์ คำจำกัดความทั่วไปกำหนดให้มีการลดลง 20% หรือมากกว่าจากระดับสูงสุดล่าสุดในดัชนีตลาดกว้างๆ ต่อไปนี้คือลักษณะบางส่วนที่เกี่ยวข้อง

ทัศนคติในแง่ร้าย

ลักษณะเด่นอย่างหนึ่งของตลาดหมีคือความรู้สึกมองโลกในแง่ร้ายที่แพร่หลายในหมู่นักลงทุน ต่างจากภาวะตกต่ำในระยะสั้น ตลาดหมีสะท้อนถึงความรู้สึกเชิงลบอย่างกว้างขวางซึ่งกลายเป็นการเสริมกำลังตนเอง: เมื่อราคาตกต่ำ นักลงทุนก็มีแนวโน้มที่จะขายมากขึ้น ส่งผลให้ราคาลดลงไปอีก

มีความผันผวนสูง

ตลาดหมีมักมีความผันผวนในระดับที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับตลาดกระทิง ความผันผวนที่เพิ่มขึ้นนี้อาจเป็นผลมาจากความไม่แน่นอนและความตื่นตระหนกของนักลงทุน ซึ่งนำไปสู่การแกว่งตัวของราคาที่มากขึ้น

ปริมาณการซื้อขายที่ลดลง

ในช่วงตลาดหมี เป็นเรื่องปกติที่ปริมาณการซื้อขายจะลดลง ในขั้นต้น อาจมีปริมาณเพิ่มขึ้นเนื่องจากนักลงทุนรีบขายสินทรัพย์ แต่เมื่อตลาดหมีลากยาว จำนวนหุ้นที่มีการซื้อขายมักจะลดลงเนื่องจากผู้ซื้อที่มีศักยภาพยังคงอยู่นอกสนาม

เครื่องชี้เศรษฐกิจขาลง

ตลาดหมีมักจะเกิดขึ้นพร้อมกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ตัวชี้วัดทั่วไป ได้แก่ อัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้น ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลง รายได้ของบริษัทลดลง และ GDP ที่ลดลง

การอนุรักษ์ทุน

การมุ่งเน้นของนักลงทุนมักจะเปลี่ยนจากการเพิ่มผลตอบแทนสูงสุดไปสู่การลดการสูญเสียให้เหลือน้อยที่สุด มีความสนใจมากขึ้นในการลงทุนที่ปลอดภัยและมีความเสี่ยงต่ำ เช่น พันธบัตรรัฐบาล ทองคำ หรือหุ้นสาธารณูปโภค ซึ่งมักจะมีประสิทธิภาพดีกว่าในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ

ลดการเสนอขายต่อสาธารณะครั้งแรก (IPO)

บริษัทต่างๆ มีโอกาสน้อยที่จะเปิดตัวสู่สาธารณะในตลาดหมีเนื่องจากราคาสินทรัพย์ตกต่ำและขาดความสนใจจากนักลงทุน กิจกรรม IPO ที่ลดลงเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่ลดลงในสภาพแวดล้อมของตลาด

เพิ่มขึ้นในการขายชอร์ต

การขายชอร์ตมักจะเพิ่มขึ้นในตลาดหมี เนื่องจากนักลงทุนมองหากำไรจากราคาที่ลดลง อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้อาจทำให้แรงกดดันต่อราคาหุ้นลดลงได้เช่นกัน

วิกฤตสินเชื่อ

ธนาคารและสถาบันการเงินอาจเข้มงวดมาตรฐานการให้สินเชื่อในช่วงที่ตลาดหมีเนื่องจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจทำให้การชะลอตัวรุนแรงขึ้นโดยการจำกัดการเข้าถึงเงินทุน

การแทรกแซงของรัฐบาลและธนาคารกลาง

ผู้กำหนดนโยบายอาจพยายามพลิกกลับหรือบรรเทาแนวโน้มเศรษฐกิจและตลาดที่ลดลงผ่านการกระทำที่หลากหลาย รวมถึงการลดอัตราดอกเบี้ย การผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือการแนะนำแพ็คเกจกระตุ้นเศรษฐกิจทางการคลัง

ความแปรปรวนของประสิทธิภาพของภาคส่วน

ไม่ใช่ทุกภาคส่วนจะได้รับผลกระทบเท่ากันในช่วงตลาดหมี ภาคการป้องกันหรือส่วนที่ “ไม่เป็นวัฏจักร” เช่น สาธารณูปโภค การดูแลสุขภาพ และสินค้าอุปโภคบริโภค มักจะมีประสิทธิภาพเหนือกว่าภาคส่วนที่เป็นวัฏจักร เช่น เทคโนโลยี สินค้าอุตสาหกรรม และสินค้าที่ต้องพิจารณาของผู้บริโภค

ระยะเวลายาวนาน

ตลาดหมีสามารถคงอยู่เป็นระยะเวลานานตั้งแต่สองสามเดือนไปจนถึงหลายปี ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ รวมถึงภาวะเศรษฐกิจ ความเชื่อมั่นของนักลงทุน และเหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์

ลักษณะเฉพาะ

    1. การชะลอตัวของเศรษฐกิจ: ภาวะเศรษฐกิจถดถอยมักกระตุ้นให้เกิดตลาดหมี
    2. อัตราดอกเบี้ยสูง: เมื่อต้นทุนการกู้ยืมสูง การลงทุนมีแนวโน้มลดลง ส่งผลให้ตลาดหมี
    3. ความไม่มั่นคงทางการเมือง: การเลือกตั้ง สงคราม หรือเหตุการณ์สำคัญอื่นๆ อาจทำให้เกิดความไม่แน่นอนที่กระตุ้นให้เกิดตลาดหมี
    4. วิกฤตการณ์ทางการเงิน: เหตุการณ์เช่นการล่มสลายของสถาบันการเงินรายใหญ่อาจทำให้สูญเสียความเชื่อมั่นในระบบการเงินได้

ตัวอย่าง ตลาดหมี Bear Market

กรณีศึกษา

ตลาดทำกำไรอย่างรวดเร็วในช่วงต้นของปี 2000 ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำและสินเชื่อที่ง่ายต่อการเข้าถึง แต่ส่วนใหญ่ของสถานการณ์นี้สร้างขึ้นบนผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ไม่มั่นคงเกี่ยวกับตลาดที่อยู่อาศัยในสหรัฐอเมริกา เมื่อความเสี่ยงเกี่ยวกับเงินกู้ที่อยู่อาศัยมีระดับที่สูงกว่าที่นักลงทุนเคยรู้มา เกิดอาการทลายตลาดหมีขึ้น

ลักษณะที่ปรากฏ

    1. ทัศนคติในแง่ร้าย: ความเชื่อมั่นหายไปเนื่องจากข่าวความล้มเหลวของธนาคารและการช่วยเหลือทางการเงินกลายเป็นหัวข้อข่าวรายวัน นักลงทุนเริ่มขายสินทรัพย์เสี่ยงออกไปจำนวนมาก
    2. ความผันผวนสูง: ตลาดหุ้นประสบกับระดับความผันผวนที่สูง ด้วยดัชนีเช่น S&P 500 ที่แสดงการเพิ่มขึ้นและลดลงอย่างเป็นประวัติการณ์ในช่วงเวลาที่สั้น
    3. ปริมาณการซื้อขายลดลง: ในขั้นต้น ปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นเมื่อนักลงทุนรีบขาย แต่เมื่อตลาดหมีเริ่มคงที่ ปริมาณการซื้อขายลดลง
    4. ตัวชี้วัดเศรษฐกิจลดลง: อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น การใช้จ่ายของผู้บริโภคตกต่ำ และบริษัทประกาศรายได้ที่ลดลง
    5. การรักษาทุน: นักลงทุนหันไปสู่สินทรัพย์ที่ปลอดภัยเช่นทองคำและพันธบัตรของรัฐบาล และหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นและสินทรัพย์ความเสี่ยงสูง
    6. การเปิดตัว IPO ลดลง: สภาพแวดล้อมของตลาดหมีไม่ส่งเสริมให้บริษัทใหม่เปิดตัวได้ การขยายธุรกิจของบริษัทก็ถูกระงับ
    7. เพิ่มการขายชอร์ต: เมื่อตลาดล่มสลาย ฟันด์เฮดจ์และนักลงทุนรายย่อยเอาตัวเองในตำแหน่งขายชอร์ตเพื่อทำกำไรจากแนวโน้มของตลาดที่ตกล
    8. วิกฤตการเงิน: ธนาคารเริ่มเลือกลูกค้าในการให้สินเชื่ออย่างเข้มงวด ทำให้ธุรกิจและผู้บริโภคมีความยากลำบากในการขอเงินกู้ ซึ่งทำให้ภาวะเศรษฐกิจยิ่งแย่ลง
    9. การแทรกแซงของรัฐบาลและธนาคารกลาง: ในการตอบสนอง รัฐบาลทั่วโลกได้เริ่มโปรแกรมช่วยเหลือและธนาคารกลางลดอัตราดอกเบี้ย สำหรับตัวอย่าง เฟดเดอรัลรีเซิร์ฟของสหรัฐอเมริกาได้เ introduce นโยบายการเงินที่ไม่ปกติ รวมถึง Quantitative Easing เพื่อพยายามเสถียรภาพเศรษฐกิจ
    10. ความแปรปรวนในผลการดำเนินงานของภาค: ภาคที่ไม่เป็นวัฏจักรเช่น สาธารณูปโภคและการดูแลสุขภาพทำได้ดีกว่าภาคที่เป็นวัฏจักรมาก เช่น การก่อสร้างและการเงิน
    11. ระยะเวลายาว: ผลของตลาดหมีนี้รู้สึกถึงหลายปี ด้วยบางดัชนีที่ไม่ได้กลับสู่ระดับก่อนวิกฤตจนถึงเกือบสิ้นทศวรรษ

ยุทธวิธีที่ถูกนำมาใช้

    • นักลงทุนที่รู้จักเครื่องหมายเร็ว ๆ นั้นหรือออกจากตลาดหรือย้ายไปยังสินทรัพย์ที่ป้องกัน
    • นักลงทุนบางคนทำกำไรจากการขายชอร์ตหรือการใช้ผลิตภัณฑ์อนุพันธ์เพื่อเดิมพันต่อตลาด
    • นักลงทุนรายย่อยที่อยู่ในตลาดและดำเนินการลงทุนอย่างต่อเนื่องสุดท้ายได้ซื้อหุ้นในราคาที่ถูกกว่า และได้รับประโยชน์ในระยะยาวเมื่อตลาดฟื้นตัว