Hyperinflation คืออะไร ลักษณะของการเกิด Hyperinflation สถิติการเกิดในอดีต

Table of Contents

Hyperinflation คืออะไร

Hyperinflation คือภาวะเงินเฟ้อรุนแรงและโดยทั่วไปจะเร่งขึ้น ซึ่งมักจะเกิน 50% ต่อเดือน ต่างจากภาวะเงินเฟ้อ “ปกติ” ซึ่งอาจอยู่ในช่วง 1% ถึง 3% ต่อปีในประเทศที่พัฒนาแล้ว ภาวะเงินเฟ้อรุนแรงมักจะอยู่นอกเหนือการควบคุมและอาจสร้างหายนะให้กับเศรษฐกิจได้ เงินสูญเสียมูลค่าอย่างรวดเร็วภายใต้ภาวะเงินเฟ้อรุนแรงจนผู้คนสูญเสียศรัทธาในสกุลเงิน และการแลกเปลี่ยนสินค้าหรือใช้สกุลเงินต่างประเทศในการทำธุรกรรมจะเป็นประโยชน์มากขึ้น
Hyperinflation คืออะไร
Hyperinflation คืออะไร
โดยทั่วไปภาวะเงินเฟ้อรุนแรงส่วนใหญ่เกิดจากการพิมพ์เงินสดในปริมาณมากโดยไม่มีการสนับสนุนด้วยการเพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์ในประเทศ อย่างไรก็ตาม การพิมพ์เงินก็ไม่ใช่ปัจจัยเดียวเท่านั้น สถานการณ์หลายอย่างรวมกัน เช่น การสูญเสียความมั่นใจในหมู่ประชาชนต่อความสามารถของรัฐบาลในการจัดการนโยบายเศรษฐกิจ ความไม่มั่นคงทางการเมือง การสูญเสียการผลิตที่สำคัญ (เช่น อุตสาหกรรมหลักหรือทรัพยากรธรรมชาติ) หรือการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน สามารถกระตุ้นหรือทำให้รุนแรงขึ้น ภาวะเงินเฟ้อมากเกินไป

ลักษณะของการเกิด Hyperinflation

การเกิด Hyperinflation หรือ “เงินเฟ้อรุนแรง” เป็นสถานการณ์ที่ราคาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและไม่เข้าข้อง จนทำให้สกุลเงินของประเทศสูญเสียค่าความเป็นมีอย่างรุนแรง ลักษณะของ Hyperinflation คือ
  1. เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของราคา: ในบางกรณี ราคาสินค้าและบริการอาจจะเพิ่มขึ้นหลายเท่าในเวลาอันสั้น
  2. การพิมพ์พันธบัตรเพิ่มขึ้น: รัฐบาลพิมพ์พันธบัตรเพิ่มขึ้นอย่างมากในความพยายามในการจ่ายหนี้หรือการขยายเศรษฐกิจ
  3. การสูญเสียความมั่นใจในสกุลเงิน: ผู้อยู่อาศัยและเจ้าของธุรกิจไม่เต็มใจที่จะยอมรับสกุลเงินประจำชาติสำหรับการทำธุรกรรม และอาจหันไปใช้การแลกเปลี่ยนหรือใช้สกุลเงินต่างประเทศ
  4. เงินเดือนและราคาปรับตัวอย่างรวดเร็ว: ปรับเงินเดือนและราคาสินค้าหลายครั้งในเดือนหนึ่ง หรือในบางกรณี อาจจะเป็นหลายครั้งในหนึ่งวัน
  5. ความยากลำบากในการวางแผนการเงิน: หน่วยงานธุรกิจและคนทั่วไปพบปัญหาในการวางแผนสำหรับอนาคตเนื่องจากความไม่แน่นอนของค่าเงิน
  6. ตลาดมืดและการแลกเปลี่ยน: การเกิดตลาดมืดที่มีการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการโดยไม่ได้รับความสนับสนุนจากรัฐบาลหรือใช้สกุลเงินอื่นแทน
  7. ผลกระทบต่อการกระจายรายได้: คนที่มีรายได้คงที่หรือไม่สามารถปรับตัวได้รวดเร็วจะถูกกระทบหนัก เพราะราคาของสิ่งที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
  8. ฟื้นตัวยาก: การเกิด Hyperinflation มักจะทำให้ฟื้นตัวจากสถานการณ์นี้ยากมาก และอาจจะต้องใช้เวลาหลายปีหรือจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและเศรษฐกิจอย่างรากฐาน
  9. การบิดเบือนราคา: ราคาสินค้าอาจบิดเบี้ยวได้ ทำให้เป็นเรื่องยากสำหรับคนที่จะซื้อสิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐาน
  10. ความไม่สงบในสังคม: โครงสร้างทางสังคมอาจหลุดลุ่ยเมื่อผู้คนพยายามดิ้นรนเพื่อตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐาน ซึ่งนำไปสู่การประท้วง การนัดหยุดงาน และแม้แต่ความรุนแรง
  11. ความไร้ประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ: กิจกรรมทางเศรษฐกิจตามปกติ เช่น การวางแผนระยะยาวและการลงทุน อาจหยุดชะงัก ส่งผลให้ธุรกิจต้องปิดตัวลงและการว่างงานเพิ่มขึ้น

สาเหตุของการเกิด Hyperinflation

ปริมาณเงินที่มากเกินไป

    • นโยบายของธนาคารกลาง: สาเหตุโดยตรงที่สุดของภาวะเงินเฟ้อรุนแรงคือการมีเงินล้นตลาด ซึ่งพิมพ์โดยรัฐบาลที่เป็นหนี้
    • การจัดหาเงินทุนทางการเงิน: รัฐบาลอาจหันไปใช้ “การพิมพ์เงิน” เพื่อชำระหนี้ ค่าใช้จ่ายทางการเงินที่ไม่ผ่านการเก็บภาษีหรือการกู้ยืม แต่ผ่านทางการออกเงินใหม่

การเกิดฉับพลันจากการเพิ่มของความต้องการ (Demand-pull Inflation)

    • ความต้องการสูง: บางครั้งความต้องการสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มากกว่าอัตราการผลิตสินค้า ส่งผลให้ราคาสูงขึ้น

การเกิดฉับพลันจากการเพิ่มของต้นทุน (Cost-push Inflation)

    • ต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น: เมื่อต้นทุนการผลิตสินค้าเพิ่มขึ้น (เนื่องจากราคาวัตถุดิบ ค่าจ้าง ฯลฯ ที่เพิ่มขึ้น) ธุรกิจต่างๆ จึงส่งต่อต้นทุนเหล่านี้ให้กับผู้บริโภคในรูปแบบของราคาที่สูงขึ้น

สูญเสียความเชื่อมั่นในสกุลเงิน

    • การถูกปรับตัวของสกุลเงิน: หากประชาชนสูญเสียความเชื่อมั่นในสกุลเงินของประเทศตนเอง พวกเขาอาจเริ่มใช้สกุลเงินจากประเทศอื่น

ความไม่มั่นคงทางการเมือง

    • ขาดวินัยทางการคลัง: รัฐบาลที่กู้ยืมมากเกินไปอาจพบว่าวิธีเดียวที่จะปฏิบัติตามภาระผูกพันของตนได้คือการพิมพ์เงินมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่การสูญเสียความเชื่อมั่นในสกุลเงิน และท้ายที่สุดก็เกิดภาวะเงินเฟ้อรุนแรง

อัตราแลกเปลี่ยน

    • ภาวะเงินเฟ้อนำเข้า: หากสกุลเงินสูญเสียมูลค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น สินค้านำเข้าจะมีราคาแพงกว่า ส่งผลให้ราคาในประเทศสูงขึ้น

สงครามและความขัดแย้ง

    • การขาดแคลนทรัพยากรและการกักตุน: เศรษฐกิจในช่วงสงครามมักประสบปัญหาการขาดแคลนสินค้าพื้นฐาน ซึ่งนำไปสู่การกักตุนและตลาดมืด ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อรุนแรงได้

การคาดการณ์

    • ความคาดหวังในอนาคต: ความคาดหวังเกี่ยวกับการเพิ่มของราคาในอนาคตอาจกระตุ้นการสะสม ทำให้ความต้องการและราคาเพิ่มขึ้น

การจัดการเศรษฐกิจที่ไม่ดี

    • ข้อผิดพลาดในนโยบาย: การตัดสินใจนโยบายที่ไม่ดี เช่น การกำหนดราคาหรือการจำกัดการนำเข้า อาจทำให้อัตราการผลิตและความต้องการเพี้ยนไปจากสมดุล

ปัจจัยระดับโลก

    • อัตราเงินเฟ้อทั่วโลก: บางครั้งอัตราเงินเฟ้อในประเทศหนึ่งอาจล้นไปสู่ต้นทุนที่สูงขึ้นสำหรับสินค้านำเข้าหรือสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อในประเทศอื่น

ผลกระทบของการเกิด Hyperinflation

ผลกระทบต่อสถาบันการออมและการเงิน

    • การพังทลายของการออม: ภาวะเงินเฟ้อรุนแรงกัดกร่อนมูลค่าที่แท้จริงของการออม เงินที่เก็บไว้ก็ไร้ค่าในทางปฏิบัติ
    • ความล้มเหลวของธนาคาร: สถาบันการเงินอาจล่มสลายเนื่องจากผู้คนสูญเสียศรัทธาในตัวพวกเขาและถอนเงินออกไป นำไปสู่วิกฤตสภาพคล่อง

ผลกระทบต่อรายได้และความมั่งคั่ง

    • รายได้ซบเซา: แม้ว่าราคาจะสูงขึ้น แต่รายได้มักจะไม่ก้าวตาม ทำให้กำลังซื้อลดลง
    • การกระจายความมั่งคั่ง: โดยทั่วไปภาวะเงินเฟ้อรุนแรงจะเป็นประโยชน์ต่อผู้กู้ยืม โดยผู้ให้กู้และผู้ออมจะต้องเสียค่าใช้จ่าย เนื่องจากมูลค่าที่แท้จริงของหนี้ลดลง

ผลกระทบต่อธุรกิจ

    • ความยากลำบากในการวางแผนและการพยากรณ์: กลายเป็นเรื่องยากสำหรับธุรกิจในการวางแผนสำหรับอนาคต เนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับต้นทุนและราคา
    • ปัญหากระแสเงินสด: บริษัทอาจประสบปัญหากระแสเงินสดเนื่องจากต้องจ่ายเงินมากขึ้นสำหรับสินค้าและบริการแบบเดียวกัน

ผลกระทบต่อโครงสร้างทางสังคม

    • ความยากจนและความไม่เท่าเทียม: คนจนจะจนลง และความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจมักจะเพิ่มขึ้น
    • ความไม่สงบในสังคม: ความเครียดและความไม่แน่นอนนำไปสู่ความไม่สงบในสังคม การประท้วง และในกรณีที่รุนแรง อาจเกิดการปฏิวัติหรือการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง

ผลกระทบต่อรัฐบาล

    • การขาดดุลงบประมาณ: การใช้จ่ายภาครัฐมีมากกว่ารายได้ ซึ่งมักได้รับการสนับสนุนจากการพิมพ์เงินมากขึ้น ส่งผลให้ปัญหารุนแรงขึ้น
    • การสูญเสียความน่าเชื่อถือ: รัฐบาลและธนาคารกลางสูญเสียความน่าเชื่อถือทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

    • การหนีทุน: มักจะมีการไหลออกของเงินทุนไปยังเศรษฐกิจที่มีความมั่นคงมากขึ้น ส่งผลให้ค่าเงินท้องถิ่นอ่อนค่าลงอีก
    • ความไม่สมดุลทางการค้า: ภาวะเงินเฟ้อรุนแรงอาจส่งผลให้เกิดความไม่สมดุลทางการค้าเนื่องจากต้นทุนการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นและความสามารถในการแข่งขันในการส่งออกลดลง

ผลกระทบทางจิตวิทยา

    • สูญเสียความมั่นใจ: มีการสูญเสียความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจและสถาบันของประเทศโดยทั่วไป
    • ระบบการแลกเปลี่ยน: ในกรณีที่ร้ายแรง สกุลเงินจะมีค่าลดลงมากจนสามารถใช้ระบบการแลกเปลี่ยนสำหรับการทำธุรกรรมในชีวิตประจำวันได้

ผลกระทบระยะยาว

    • การปฏิรูปเศรษฐกิจหรือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง: เมื่อมีการควบคุมภาวะเงินเฟ้อขั้นรุนแรงแล้ว โดยปกติจำเป็นต้องมีการปฏิรูปที่สำคัญเพื่อรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจ
    • ความช่วยเหลือระหว่างประเทศ: ความช่วยเหลือทางการเงินระหว่างประเทศบ่อยครั้ง (เช่น การช่วยเหลือของ IMF) และการกำกับดูแล จำเป็นต่อการรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อรุนแรง

สถิติการเกิด Hyperinflation ในอดีต

การเกิด Hyperinflation มีผลลัพธ์ที่ร้ายแรงและล้มเหลวในการจัดการเศรษฐกิจของประเทศ โดย10 ประเทศที่ประสบการณ์ Hyperinflation ในระดับที่สูงที่สุด มีดังนี้

1. ฮังการี (1945-1946)

    • อัตราเงินเฟ้อสูงสุด: ราคาเพิ่มขึ้นสองเท่าทุกๆ 15 ชั่วโมง
    • สาเหตุ: การถูกตัดแยกดินแดน, ค่าซ่อมแซมจากสงคราม
    • ผลกระทบ: สกุลเงินเพนเก้อถูกทำลาย, นำมาซื้อสินค้าไม่ได้

2. ซิมบับเว (2000s)

    • อัตราเงินเฟ้อสูงสุด: รายปี 89.7 sextillion เปอร์เซ็นต์ใน 2008
    • สาเหตุ: การยึดถือนโยบายที่ไม่เหมาะสม, การเมืองไม่แน่นอน
    • ผลกระทบ: ประชาชนเริ่มใช้สกุลเงินของประเทศอื่น

3. ยูโกสลาเวีย (1993-1994)

    • อัตราเงินเฟ้อสูงสุด: ราคาเพิ่มขึ้นสองเท่าทุก 34 ชั่วโมง
    • สาเหตุ: สงครามและความขัดแย้งทางการเมือง
    • ผลกระทบ: สกุลเงินดีนาร์ถูกทำลาย

4. เยอรมนี (1922-1923)

    • อัตราเงินเฟ้อสูงสุด: ราคาเพิ่มขึ้นสองเท่าทุก 3.7 วัน
    • สาเหตุ: หนี้จากสงคราม, การชำระค่าซ่อมแซม
    • ผลกระทบ: คนใช้เงินเป็นน้ำมันเตา, เกิดการคั่นค้าย

5. กรีซ (1943-1944)

    • อัตราเงินเฟ้อสูงสุด: ราคาเพิ่มขึ้น 8.55 พันล้านเปอร์เซ็นต์ต่อเดือน
    • สาเหตุ: ผลกระทบจากสงครามโลกครั้งที่สอง
    • ผลกระทบ: คนแสวงหาอาหารและแสน้ำเพื่อใช้แทนเงิน

6. จีน (1947-1949)

    • อัตราเงินเฟ้อสูงสุด: ไม่ชัดเจน แต่สูงมาก
    • สาเหตุ: การสูญเสียความเชื่อมั่นในรัฐบาล
    • ผลกระทบ: ส่งผลสู่การเปลี่ยนแปลงระบบการเมือง

7. เปรู (1988-1990)

    • อัตราเงินเฟ้อสูงสุด: 400% ต่อเดือน
    • สาเหตุ: การจัดการเศรษฐกิจที่ไม่ดี
    • ผลกระทบ: เปลี่ยนสกุลเงิน, ปรับปรุงนโยบาย

8. บราซิล (1980s-1990s)

    • อัตราเงินเฟ้อสูงสุด: ราคาเพิ่มขึ้น 80% ต่อเดือนในปี 1990
    • สาเหตุ: หนี้สินสูง, นโยบายที่ไม่เหมาะสม
    • ผลกระทบ: เปลี่ยนสกุลเงินหลายครั้ง

9. ปอลังด์ (1921-1924)

    • อัตราเงินเฟ้อสูงสุด: ระหว่างสงครามโลกและหลังจากสงคราม อัตราเงินเฟ้อสูงมาก
    • สาเหตุ: หนี้จากสงคราม, ค่าซ่อมแซม
    • ผลกระทบ: ความทุกข์ยากในชีวิตประจำวัน

10. อาร์เจนตินา (1989-1990)

    • อัตราเงินเฟ้อสูงสุด: ในเดือนกรกฎาคม 1989 ถึง 200% ต่อเดือน
    • สาเหตุ: หนี้สินสูง, นโยบายที่ไม่เหมาะสม
    • ผลกระทบ: ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมือง