Mark-To-Market คืออะไร หมายถึงอะไร

Table of Contents

Mark-To-Market คืออะไร

การบัญชีแบบ Mark-to-Market (MTM) คือวิธีการบัญชีที่ปรับมูลค่าของสินทรัพย์ หนี้สิน หรือเครื่องมือทางการเงินให้สอดคล้องกับมูลค่าตลาดปัจจุบัน แทนที่จะใช้มูลค่าทางบัญชีหรือต้นทุน เป้าหมายหลักของมันคือสำหรับการรายงานการเงินและการซื้อขาย
Market to Market คืออะไร
Market to Market คืออะไร

ทำไม Mark-to-Market ถึงสำคัญ

 ความโปร่งใส

    1. การประเมินมูลค่าปัจจุบัน: วิธีการบัญชีแบบดั้งเดิมมักจะบันทึกสินทรัพย์และหนี้สินตามราคาที่ซื้อมา ซึ่งอาจไม่สะท้อนถึงมูลค่าปัจจุบัน MTM จะแน่ใจว่าราคาทั้งหมดเป็นราคาตามตลาดปัจจุบัน เพื่อให้เห็นภาพทางการเงินของบริษัทที่แม่นยำยิ่งขึ้น
    2. ความเชื่อมั่นของนักลงทุน: ความโปร่งใสในการรายงานทางการเงินจะเพิ่มความเชื่อมั่นของนักลงทุน การเห็นมูลค่าตามตลาดปัจจุบันของสินทรัพย์และหนี้สินจะทำให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจที่ดีขึ้นได้
    3. ความเชื่อถือในการรายงาน: การปรับมูลค่าสินทรัพย์และหนี้สินตามราคาตลาดแสดงถึงความจริงจังและความซื่อสัตย์ในการรายงาน

การจัดการความเสี่ยง

    1. ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นแบบเรียลไทม์: บริษัทและสถาบันการเงินมักจะมีสินทรัพย์ที่ซับซ้อนและมีความเสี่ยงหลายประเภท MTM ช่วยให้สามารถทราบถึงความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในเวลาจริง
    2. การตัดสินใจเกี่ยวกับการป้องกันความเสี่ยง (Hedging): การทราบถึงมูลค่าปัจจุบันของสินทรัพย์ทำให้บริษัทสามารถตัดสินใจป้องกันความเสี่ยงได้ทันท่วงที
    3. ความต้องการเกี่ยวกับทุนของกฎหมาย: สำหรับสถาบันการเงิน การประเมินความเสี่ยงที่ถูกต้องเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับการกำหนดความต้องการของทุนตามกฎหมาย

การตัดสินใจ

    1. การจัดสรรสินทรัพย์: ผู้จัดการสามารถใช้มูลค่าที่ถูกประเมินเพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับการจัดสรรสินทรัพย์และการวางแผนทางการเงิน
    2. การรวมกิจการและการซื้อขาย: ในกรณีของการรวมกิจการหรือการซื้อขาย การทราบถึงมูลค่าสินทรัพย์และหนี้สินที่แท้จริงเป็นสิ่งที่สำคัญ
    3. การตัดสินใจเกี่ยวกับเครดิต: ผู้ให้กู้และเจ้าหนี้อาจดูการรายงานการเงินที่ปรับปรุงด้วย MTM เพื่อเข้าใจในความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัท

การปฏิบัติตามข้อบังคับ

    1. มาตรฐานการบัญชี: ทั้งหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป (GAAP) ในสหรัฐอเมริกาและมาตรฐานการรายงานทางการเงินระหว่างประเทศ (IFRS) ทั่วโลก มักกำหนดให้สินทรัพย์และหนี้สินต้องถูกทำเครื่องหมายออกสู่ตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสถาบันการเงิน
    2. กฎหมายและข้อบังคับทางการเงิน: หน่วยงานกำกับดูแล เช่น สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) ในสหรัฐอเมริกาและองค์กรที่เทียบเท่าในประเทศอื่นๆ มีแนวทางเฉพาะเกี่ยวกับการประเมินมูลค่าและการรายงานสินทรัพย์ ซึ่งมักจะบังคับใช้การบัญชี MTM
    3. ข้อกำหนดด้านการตรวจสอบและกฎหมาย: การไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานเหล่านี้อาจส่งผลให้เกิดผลทางกฎหมายที่สำคัญ รวมถึงค่าปรับและการสูญเสียความไว้วางใจของนักลงทุน

วิธีการทำงานของ Mark-to-Market (MTM)

1. ระบุสินทรัพย์/หนี้สิน

เป็นขั้นตอนแรกที่บริษัทต้องระบุสินทรัพย์หรือหนี้สินที่อยู่ในงบการเงินของตนเพื่อปรับปรุงมูลค่าตามวิธี MTM ประเภทของสินทรัพย์หรือหนี้สินที่ปกติต้องปรับปรุงมูลค่า ได้แก่:
    • เครื่องมือการเงิน: เช่น หุ้น พันธบัตร และอนุพันธ์
    • สินค้าพื้นฐาน: เช่น ทองคำ น้ำมัน และวัตถุดิบอื่น ๆ
    • สินทรัพย์เงินตราต่างประเทศ: หากบริษัทถือสินทรัพย์ในสกุลเงินต่างประเทศ สินทรัพย์เหล่านี้อาจจะต้องปรับปรุงมูลค่าด้วย

2. หามูลค่าตามตลาด

ขั้นตอนถัดไปคือการหามูลค่าตามตลาดปัจจุบันของสินทรัพย์หรือหนี้สินที่ได้ระบุไว้ วิธีในการหามูลค่านี้จะขึ้นอยู่กับประเภทของสินทรัพย์หรือหนี้สิน ซึ่งอาจจะรวมถึง:
    • การขายที่เทียบเคียง: ดูราคาขายของสินทรัพย์ที่คล้ายคลึงในตลาด
    • ดัชนีตลาด: ใช้ดัชนีตลาดที่มีอยู่เพื่อหาค่าของประเภทบางประเภทของสินทรัพย์ เช่น หุ้นหรือพันธบัตร
    • โมเดลการเงิน: สำหรับเครื่องมือการเงินที่ซับซ้อน อาจใช้โมเดลการเงินที่ซับซ้อน เช่น Black-Scholes

3. ปรับปรุงมูลค่าตามสมุดบัญชี

เมื่อได้มูลค่าตามตลาดปัจจุบันแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการปรับปรุงมูลค่าตามสมุดบัญชีของสินทรัพย์หรือหนี้สินในงบการเงิน

4. บันทึกกำไร/ขาดทุน

หลังจากปรับปรุงมูลค่าแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการบันทึกกำไรหรือขาดทุนที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจจะเป็น:
    • กำไร/ขาดทุนที่ยังไม่ได้เปลี่ยนเป็นเงินสด: เป็นกำไรหรือขาดทุนที่เกิดขึ้นแต่ยังไม่ได้ขายสินทรัพย์หรือหนี้สิน
    • กำไร/ขาดทุนที่เปลี่ยนเป็นเงินสด: หากได้ขายสินทรัพย์หรือหนี้สินแล้ว กำไรหรือขาดทุนจะถือว่าเป็น “การเปลี่ยนเป็นเงินสด” และจะถูกบันทึกในงบดุล

ประเภทของสินทรัพย์ที่บัญชีแบบ MTM

สินทรัพย์ทางการเงิน (Financial Instruments)

    1. หุ้น (Stocks): หุ้นที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์มักจะเป็นสินทรัพย์ที่ง่ายที่สุดในการประเมินมูลค่าตามราคาตลาด เนื่องจากราคาของหุ้นสามารถหาได้ง่ายจากตลาดหลักทรัพย์
    2. พันธบัตร (Bonds): มูลค่าของพันธบัตรสามารถเปลี่ยนแปลงได้เมื่ออัตราดอกเบี้ยหรือเครดิตของผู้ออกพันธบัตรเปลี่ยนแปลง การประเมินมูลค่าพันธบัตรส่วนใหญ่จะใช้วิธีการขายที่เทียบเคียงหรือโมเดลทางการเงิน
    3. อนุพันธ์ (Derivatives): ประเภทนี้รวมถึงตัวเลือกการลงทุน (options) ฟิวเจอร์ (futures) และสลับสินทรัพย์หรือดอกเบี้ย (swaps) การประเมินมูลค่าอนุพันธ์มักจะซับซ้อนและต้องใช้โมเดลทางการเงิน เช่น โมเดล Black-Scholes สำหรับตัวเลือกการลงทุน
    4. สกุลเงิน (Currencies): สำหรับบริษัทที่ดำเนินธุรกิจในหลายประเทศ การถือสินทรัพย์ในสกุลเงินต่างประเทศจำเป็นต้องประเมินมูลค่าตามอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน

อสังหาริมทรัพย์ (Real Estate)

    1. อสังหาริมทรัพย์พาณิชย์ (Commercial Properties): MTM มักจะใช้กับอสังหาริมทรัพย์ประเภทนี้ เฉพาะเมื่อเป็นส่วนหนึ่งของ Real Estate Investment Trust (REIT) มูลค่าอาจจะถูกประเมินจากการขายที่เทียบเคียง, วิธีการคิดดอกเบี้ยจากรายได้ หรือการผสมผสานของทั้งสอง
    2. ที่ดิน (Land): ถึงแม้จะไม่พบบ่อย ที่ดินก็สามารถถูกประเมินมูลค่าตามราคาตลาด โดยเฉพาะถ้าถือเป็นสินทรัพย์หรือส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนา

สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities)

    1. น้ำมัน (Oil): บริษัทพลังงานมักจะถือสำรองน้ำมันที่ต้องถูกประเมินมูลค่าตามราคาตลาดปัจจุบัน ซึ่งมักจะมีความผันผวนสูง
    2. ทอง (Gold): คล้ายกับน้ำมัน สำรองทองที่ถือโดยบริษัทเหมืองหรือบริษัทลงทุนต้องถูกประเมินมูลค่าตามราคาตลาด
    3. ผลผลิตทางการเกษตร (Agricultural Products): ถ้าบริษัทถือสำรองของผลผลิตทางการเกษตร เช่น ข้าวสาลี ข้าวโพด หรือถั่วเหลือง สิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องถูกประเมินมูลค่าตามราคาตลาด โดยเฉพาะถ้าเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาฟิวเจอร์ของสินค้าโภคภัณฑ์

ข้อท้าทายและข้อวิจารณ์

ข้อท้าทาย

1. ความผันผวน (Volatility):

      • คำอธิบาย: MTM สามารถเพิ่มระดับความผันผวนในงบการเงินขององค์กร นั่นเป็นเพราะมูลค่าของสินทรัพย์เช่นหุ้น สินทรัพย์ดิบ หรือสกุลเงินต่างประเทศ อาจจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตามสภาวะตลาด
      • ผลกระทบ: ความผันผวนนี้สามารถทำให้บริษัทดูเหมือนว่าไม่เสถียรทางการเงินเท่าที่ควรจะเป็น ถ้าใช้วิธีการประเมินมูลค่าในระยะยาว

2. สินทรัพย์ที่ขาดความนิยม (Illiquid Assets):

      • คำอธิบาย: สินทรัพย์บางประเภท เช่น ศิลปะที่หายาก อสังหาริมทรัพย์บางชนิด หรือส่วนได้ในองค์กรเอกชน ไม่มีราคาตลาดที่สามารถสังเกตได้ง่าย ทำให้การประเมินมูลค่าที่ยุติธรรมสำหรับ MTM ยากและเป็นเรื่องที่มีความเป็นอนุประโยค
      • ผลกระทบ: ความเป็นอนุประโยคนี้อาจทำให้ข้อสงสัยเกี่ยวกับความถูกต้องและความเชื่อถือได้ของงบการเงิน และอาจนำไปสู่การสูญเสียความไว้วางใจจากนักลงทุน

3. โฟกัสระยะสั้น (Short-term Focus):

      • คำอธิบาย: MTM ให้ภาพรวม “ขณะนั้น” ตามสภาวะตลาดปัจจุบัน ซึ่งอาจจะกระตุ้นให้มีการคิดระยะสั้น
      • ผลกระทบ: นี่อาจนำไปสู่การตัดสินใจของผู้จัดการที่เน้นไปที่ผลกำไรหรือการควบคุมความเสียหายในระยะสั้น แทนที่จะเป็นยุทธศาสตร์และความยั่งยืนในระยะยาว

ข้อวิจารณ์

1. วิกฤตการณ์ทางการเงินปี 2008 (2008 Financial Crisis):

      • คำอธิบาย: ในช่วงวิกฤตการณ์ทางการเงินในปี 2008 วิธีการบัญชี MTM ถูกวิจารณ์ว่าได้ทำให้สภาวะร่วงของราคาสินทรัพย์เลวร้ายขึ้น
      • ผลกระทบ: สิ่งนี้ส่งผลให้เกิดวัฏจักรที่เลวร้าย ทำให้มีการขายสินทรัพย์มากขึ้น ซึ่งทำให้ราคาต่ำลงอีก และทำให้วิกฤตการณ์เลวร้ายขึ้น

2. ความเสี่ยงในการจัดการราคา (Manipulation Risks):

      • คำอธิบาย: มีความเป็นไปได้ที่ราคาตลาดสามารถถูกจัดการโดยผู้ซื้อขายหรือผู้ภายในเพื่อส่งผลต่อการประเมินมูลค่า MTM ในทางที่ไม่เป็นธรรม
      • ผลกระทบ: การจัดการนี้สามารถทำให้เกิดภาพเบี้ยวเบนของสภาพคล่องทางการเงินที่แท้จริงของบริษัท ทำให้ดูเหมือนว่ามีมูลค่ามากหรือน้อยกว่าที่จริง และสร้างความสับสนให้กับนักลงทุนและหน่วยงานกำกับดูแล

กรอบกฎหมาย

มีหน่วยงานกำกับดูแลที่แตกต่างกันเกี่ยวกับการนำ MTM ไปใช้ ในสหรัฐอเมริกา มี GAAP และ FASB เป็นผู้ที่ให้แนวทาง ส่วนในระดับสากล มี IFRS ที่กำหนดกฎระบบกฎระเบียบในการบัญชีตามราคาตลาด (Mark-to-Market, MTM) จะแตกต่างกันอย่างมากขึ้นอยู่กับการควบคุมและประเภทของเครื่องมือทางการเงินที่เกี่ยวข้อง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้มีวิธีมาตรฐานสำหรับการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ แต่รายละเอียดอาจแตกต่างกันไป และต่อไปนี้คือระบบกฎระเบียบที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับ MTM

สหรัฐอเมริกา: หลักการบัญชีที่ยอมรับได้ทั่วไป (GAAP) และคณะกรรมการมาตรฐานการบัญชีทางการเงิน (FASB)

1. GAAP:

      • บทบาท: ในสหรัฐอเมริกา, GAAP เป็นกฎเกณฑ์การบัญชีพื้นฐานที่กำหนดให้กับบริษัท
      • การบังคับใช้: GAAP อนุญาตให้ประเมินมูลค่าตามราคาตลาดสำหรับเครื่องมือการเงินบางประเภท และระบุสถานการณ์ที่การบัญชีตามราคาซื้อเดิมเป็นที่เหมาะสม

2. FASB:

      • บทบาท: FASB มีความรับผิดชอบในการพัฒนาและปรับปรุง GAAP
      • การบังคับใช้: FASB มีมาตรฐานเฉพาะเช่น FAS 157 ซึ่งเป็นกรอบการวัดมูลค่าตามราคาเปิดตลาด

ระบบระหว่างประเทศ: มาตรฐานรายงานการเงินระหว่างประเทศ (IFRS)

1. IFRS:

      • บทบาท: IFRS เป็นมาตรฐานการบัญชีที่รับรู้ได้ทั่วโลก
      • การบังคับใช้: IFRS มีมาตรฐานเฉพาะเช่น IFRS 13 ซึ่งมุ่งเน้นที่การวัดมูลค่าตามราคาเปิดตลาด