forex คืออะไร เล่นยังไง ผิดกฏหมายไหม มีวิธีการทำกำไรอย่างไร ย่อมาจาก เทรด forex กับธนาคาร

คำว่า “forex” เป็นการผสมระหว่างคำว่า foreign และ exchange และหมายถึงตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ตลาดฟอเร็กซ์เป็นตลาดกระจายอำนาจทั่วโลกที่มีการซื้อขายสกุลเงินทั้งหมดของโลก เป็นตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดและมีสภาพคล่องมากที่สุดในโลก ด้วยปริมาณการซื้อขายที่มากกว่า 5 ล้านล้านดอลลาร์ต่อวัน ณ ความรู้ของฉันในเดือนกันยายน 2021

Forex คืออะไร
Forex คืออะไร

Table of Contents

Forex คืออะไร

การเทรดฟอเร็กซ์เกี่ยวข้องกับการซื้อสกุลเงินหนึ่งและขายอีกสกุลเงินหนึ่งพร้อมกัน นี่คือเหตุผลว่าทำไมสกุลเงินจึงแสดงเป็นคู่ เช่น EUR/USD หรือ USD/JPY อัตราแลกเปลี่ยนแสดงถึงราคาซื้อระหว่างสองสกุลเงิน

ผู้เข้าร่วมในตลาดฟอเร็กซ์มีตั้งแต่สถาบันการเงินขนาดใหญ่และบริษัทข้ามชาติไปจนถึงธนาคารกลาง เฮดจ์ฟันด์ และเทรดเดอร์รายย่อย ตลาดทำงานตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ ซึ่งช่วยให้การซื้อขายดำเนินไปอย่างต่อเนื่องในโซนเวลาสากลต่างๆ

การเทรดฟอเร็กซ์สามารถใช้เพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ รวมถึงการอำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศโดยการเปิดใช้การแปลงสกุลเงิน และสำหรับการเก็งกำไรเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงิน ตัวอย่างเช่น บริษัทในสหรัฐอเมริกาที่ซื้อสินค้าจากบริษัทในยุโรปจะต้องแปลงดอลลาร์สหรัฐเป็นยูโรเพื่อชำระค่าสินค้า ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ในทำนองเดียวกัน เทรดเดอร์อาจซื้อคู่สกุลเงิน โดยคาดหวังว่าสกุลเงินหลักจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินอ้างอิง จากนั้นขายทำกำไรหากอัตราแลกเปลี่ยนเคลื่อนไหวตามที่คาดไว้

ความเป็นมาของตลาด forex

ประวัติศาสตร์และวิวัฒนาการของตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (forex) มีความเกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดกับวิวัฒนาการของระบบการเงินระหว่างประเทศ มาดูประวัติย่อกัน:

1. ระบบมาตรฐานทองคำ (1876-1913):

ก่อนปลายศตวรรษที่ 19 ประเทศต่างๆ ใช้ทองคำและเงินเป็นวิธีการชำระเงินระหว่างประเทศ ปัญหาหลักของมาตรฐานทองคำคือประเทศที่มีทองคำจำนวนมากสามารถสร้างเงินได้มากขึ้น ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ ในปี พ.ศ. 2419 ได้มีการเปิดตัวระบบการเงินมาตรฐานทองคำ ซึ่งสกุลเงินทั้งหมดได้รับการสนับสนุนด้วยทองคำ อย่างไรก็ตาม ระบบนี้ถูกยกเลิกเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 เนื่องจากประเทศมหาอำนาจในยุโรปไม่มีทองคำมากพอที่จะแลกเปลี่ยนกับสกุลเงินทั้งหมดที่รัฐบาลกำลังพิมพ์อยู่ในขณะนั้น

2. ช่วงระหว่างสงคราม (พ.ศ. 2458-2487):

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 มาตรฐานทองคำถูกละทิ้งและสกุลเงินมีความผันผวนอย่างมากเนื่องจากประเทศต่าง ๆ ให้เงินสนับสนุนในการทำสงคราม หลังสงคราม ประเทศต่างๆ พยายามที่จะกลับไปสู่มาตรฐานทองคำ แต่พยายามดิ้นรนเพื่อรักษาไว้ในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในทศวรรษที่ 1930

3. Bretton Woods System (1944):

ในช่วงสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศพันธมิตรได้พบกันที่ Bretton Woods รัฐนิวแฮมป์เชียร์ เพื่อสร้างระบบการเงินระหว่างประเทศขึ้นใหม่ ภายใต้ระบบนี้ ประเทศต่าง ๆ ตกลงที่จะผูกสกุลเงินของตนกับดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งผูกติดกับทองคำ ดอลลาร์สหรัฐกลายเป็นสกุลเงินสำรองหลัก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ก่อตั้งขึ้นเพื่อติดตามอัตราแลกเปลี่ยนและให้ยืมสกุลเงินสำรองแก่ประเทศที่ขาดดุลการค้า Bretton Woods System ดำเนินมาจนถึงปี 1971 เมื่อสหรัฐฯ ไม่สามารถสนับสนุนเงินดอลลาร์ด้วยทองคำได้อีกต่อไป

4. ตลาด Forex สมัยใหม่ (พ.ศ. 2514-ปัจจุบัน):

เมื่อสิ้นสุดระบบ Bretton Woods สกุลเงินต่างๆ ได้รับอนุญาตให้ลอยตัวได้อย่างอิสระ โดยค่าของมันจะถูกกำหนดโดยอุปสงค์และอุปทานในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในทศวรรษที่ 1980 และ 1990 เช่น อินเทอร์เน็ต ทำให้ธนาคารและนักลงทุนซื้อขายสกุลเงินได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างมาก

กฎระเบียบของตลาดฟอเร็กซ์และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้สามารถซื้อขายด้วยความถี่สูงและมีการพัฒนาอัลกอริทึมและแบบจำลองที่ซับซ้อน วันนี้ ตลาดฟอเร็กซ์เป็นตลาดสากลที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งนักลงทุนสามารถซื้อขายคู่สกุลเงินได้หลากหลาย ธนาคารกลาง ธนาคารพาณิชย์ บริษัทการลงทุน บริษัท และผู้ค้ารายย่อยแต่ละคนมีส่วนร่วมในตลาดนี้

การเทรด forex ให้ประสบความสำเร็จ

การซื้อขายในตลาดฟอเร็กซ์เกี่ยวข้องกับการซื้อและขายคู่สกุลเงิน โดยมีเป้าหมายในการทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน นี่คือคำแนะนำทีละขั้นตอนทั่วไปเกี่ยวกับวิธีเริ่มต้นการซื้อขายในตลาดฟอเร็กซ์:

1. การศึกษา:

สิ่งสำคัญคือต้องเริ่มต้นด้วยการศึกษา การเทรดฟอเร็กซ์มีความซับซ้อนและมีความเสี่ยงสูง รวมถึงโอกาสในการสูญเสียทางการเงิน เรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการทำงานของตลาดฟอเร็กซ์ ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่ออัตราแลกเปลี่ยน การวิเคราะห์ทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐาน กลยุทธ์การจัดการความเสี่ยง และแง่มุมทางจิตวิทยาของการเทรด

2. เลือกโบรกเกอร์ Forex ที่น่าเชื่อถือ:

โบรกเกอร์ของคุณมีแพลตฟอร์มการซื้อขายที่คุณจะใช้ในการดำเนินการซื้อขาย มองหาโบรกเกอร์ที่ได้รับการควบคุมซึ่งนำเสนอสเปรดที่แข่งขันได้ การบริการลูกค้าที่ดี แพลตฟอร์มการซื้อขายที่เป็นมิตรกับผู้ใช้ และทรัพยากรด้านการศึกษาที่แข็งแกร่ง โบรกเกอร์ฟอเร็กซ์ที่มีชื่อเสียงบางแห่ง ได้แก่ IG, Forex.com และ OANDA แต่สิ่งสำคัญคือต้องทำวิจัยของคุณเองและเลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะกับความต้องการของคุณ

3. เปิดบัญชีซื้อขาย:

เมื่อคุณเลือกโบรกเกอร์แล้ว คุณจะต้องเปิดบัญชีซื้อขาย ซึ่งมักจะเกี่ยวข้องกับการให้ข้อมูลส่วนบุคคลบางอย่าง และอาจเกี่ยวข้องกับการฝากเงิน

4. เริ่มต้นด้วยบัญชีทดลอง:

โบรกเกอร์ส่วนใหญ่เสนอบัญชีทดลอง ซึ่งคุณสามารถฝึกฝนการซื้อขายด้วยเงินเสมือนจริง นี่เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการทำความเข้าใจกับแพลตฟอร์มการซื้อขายและทดสอบกลยุทธ์การซื้อขายของคุณโดยไม่ต้องเสี่ยงกับเงินจริง

5. พัฒนาแผนการเทรด:

เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จมักดำเนินการตามแผน แผนการเทรดของคุณควรกำหนดเป้าหมายทางการเงินของคุณ จำนวนเงินที่คุณยินดีรับความเสี่ยงในการเทรดแต่ละครั้ง คู่สกุลเงินที่คุณจะเทรด และกลยุทธ์การเทรดของคุณ

6. วิเคราะห์ตลาด:

ก่อนทำการซื้อขาย การวิเคราะห์ตลาดเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการดูข่าวเศรษฐกิจที่อาจส่งผลต่ออัตราแลกเปลี่ยน การวิเคราะห์รูปแบบแผนภูมิ หรือการใช้ตัวบ่งชี้ทางเทคนิค

7. ทำการซื้อขาย:

เมื่อคุณพร้อม คุณสามารถทำการซื้อขายได้ คุณจะต้องตัดสินใจว่าคุณต้องการซื้อหรือขายคู่สกุลเงิน กำหนดขนาดการเทรดของคุณ และกำหนดตำแหน่งที่จะตั้งระดับ Stop Loss และ Take Profit

8. ติดตามการเทรดของคุณและปรับเปลี่ยนตามต้องการ:

หลังจากที่การเทรดของคุณเริ่มขึ้นแล้ว คุณจะต้องติดตามตลาดและการเทรดของคุณ หากตลาดมีการเปลี่ยนแปลง คุณอาจต้องปรับระดับการหยุดการขาดทุนหรือการทำกำไร หรือปิดการซื้อขายของคุณก่อนกำหนด

9. เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง:

การซื้อขาย Forex เป็นประสบการณ์การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง เมื่อคุณได้รับประสบการณ์มากขึ้น คุณจะพบวิธีปรับปรุงกลยุทธ์การซื้อขายและเทคนิคการจัดการความเสี่ยงของคุณ

ผู้ที่อยู่ในตลาด Forex

ตลาดฟอเร็กซ์เป็นตลาดที่กว้างใหญ่และหลากหลายโดยมีผู้เข้าร่วมจำนวนมาก ซึ่งแต่ละคนมีเป้าหมายและระดับการมีส่วนร่วมที่แตกต่างกัน นี่คือผู้เข้าร่วมหลักบางส่วนในตลาดฟอเร็กซ์:

1. ธนาคารกลาง:

ธนาคารกลาง เช่น ธนาคารกลางสหรัฐในสหรัฐอเมริกาหรือธนาคารกลางยุโรปในยูโรโซน มีบทบาทสำคัญในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน พวกเขามีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดการปริมาณเงินและอัตราดอกเบี้ยของประเทศ ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับการซื้อและขายสกุลเงินของตนเองในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อรักษาเสถียรภาพหรือลดค่าของสกุลเงิน ธนาคารกลางสามารถส่งผลกระทบอย่างมากต่ออัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา

2. ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงิน:

หน่วยงานเหล่านี้ซื้อขายสกุลเงินสำหรับบัญชีของตนและในนามของลูกค้า พวกเขาอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมฟอเร็กซ์ให้กับลูกค้าและใช้การเทรดแบบเก็งกำไรเพื่อจัดการความเสี่ยงด้านสกุลเงินของตนเองและแสวงหาผลกำไร

3. กองทุนเฮดจ์ฟันด์และผู้จัดการการลงทุน:

ผู้จัดการพอร์ตโฟลิโอและกองทุนเฮดจ์ฟันด์เป็นส่วนสำคัญของตลาดฟอเร็กซ์ในแง่ของปริมาณการซื้อขาย พวกเขามีส่วนร่วมในการซื้อขายฟอเร็กซ์เพื่อจัดการความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อรับประโยชน์จากการเก็งกำไร และเพื่อกระจายพอร์ตการลงทุน

4. บริษัทข้ามชาติ:

ธุรกิจที่ดำเนินการในหลายประเทศมักจำเป็นต้องซื้อขายสกุลเงินเพื่อดำเนินการ จ่ายเงินให้พนักงาน และทำการลงทุน ตัวอย่างเช่น บริษัทในสหรัฐอเมริกาที่มีรายได้ในยุโรปจะต้องแลกเปลี่ยนเงินยูโรเป็นดอลลาร์

5. นักเทรดรายย่อย:

นักเทรดเหล่านี้คือนักเทรดรายบุคคลที่เข้าร่วมในตลาดฟอเร็กซ์ด้วยเหตุผลเชิงเก็งกำไร โดยหวังที่จะทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงิน ผู้ค้าปลีกสามารถซื้อขายฟอเร็กซ์ได้โดยตรงผ่านนายหน้าหรือโดยอ้อมผ่านธนาคารหรือสถาบันการเงิน

6. นายหน้า:

นายหน้าทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างผู้ค้าปลีกและตลาดระหว่างธนาคาร พวกเขาอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงตลาดฟอเร็กซ์สำหรับผู้ค้ารายบุคคลที่ไม่สามารถเข้าร่วมได้เนื่องจากการทำธุรกรรมจำนวนมากในตลาดระหว่างธนาคาร

ผู้เข้าร่วมเหล่านี้แต่ละคนมีเป้าหมายที่แตกต่างกันและมีส่วนช่วยให้ตลาดฟอเร็กซ์มีสภาพคล่องสูงและมีลักษณะการดำเนินงานตลอด 24 ชั่วโมง พวกเขายังตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวของตลาดและการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจแตกต่างกัน ซึ่งมีส่วนทำให้เกิดความผันผวนของตลาดฟอเร็กซ์

โปรแกรมสำหรับซื้อขายและเทคโนโลยี

การซื้อขายในตลาด Forex (Foreign Exchange) ต้องผ่านกระบวนการที่ซับซ้อนและใช้เทคโนโลยีอย่างมาก เพื่อให้คุณสามารถซื้อขายสกุลเงินได้ทันท่วงที มีเครื่องมือและโปรแกรมที่ช่วยในการซื้อขายอย่างมากมาย ดังนี้:

1. โปรแกรมการซื้อขาย (Trading Platforms): พวกเขาเป็นโปรแกรมที่ให้คุณสามารถดูราคาสดและส่งคำสั่งซื้อขายได้ ตัวอย่างที่นิยมคือ MetaTrader 4 และ MetaTrader 5 ทั้งสองเวอร์ชันนี้มีเครื่องมือและคุณสมบัติที่ช่วยในการวิเคราะห์ทางเทคนิค เช่น แผนภูมิและตัวชี้วัดทางเทคนิค

2. เทคโนโลยีคำสั่งซื้อขาย: คำสั่งซื้อขายแบบตรงไปตรงมา (Direct Market Access) และ คำสั่งซื้อขายผ่านขั้นตอน (Electronic Communication Networks) ทั้งสองเทคโนโลยีนี้ช่วยให้คุณสามารถส่งคำสั่งซื้อขายได้โดยตรงโดยไม่ต้องผ่านโบรกเกอร์

3. ซอฟต์แวร์อัตโนมัติ (Automated Trading Software): มีซอฟต์แวร์ที่ให้คุณสามารถสร้าง ทดสอบ และ ทำการซื้อขายแบบอัตโนมัติ ที่อาศัยการวิเคราะห์ทางเทคนิค เช่น MetaTrader มีฟีเจอร์ที่เรียกว่า Expert Advisors (EAs) ที่เป็นโปรแกรมที่เขียนโดยใช้ภาษา MQL เพื่อทำการซื้อขายแบบอัตโนมัติ

4. แพลตฟอร์มการซื้อขายบนมือถือ (Mobile Trading Platforms): ความสามารถในการเข้าถึงตลาด Forex ผ่านสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต โดยมีแอปพลิเคชั่นที่ใช้ในการซื้อขายและติดตามผลประกอบการของคุณ

รูปแบบของการส่งคำสั่ง

ECN (Electronic Communication Network) และ STP (Straight Through Processing) เป็นสองรูปแบบของโบรกเกอร์ฟอเร็กซ์ที่ให้บริการการเข้าถึงตลาดเครดิตตรงโดยไม่ผ่านผู้ค้าตัวกลาง (Dealing Desk). นี่เป็นคำอธิบายเกี่ยวกับทั้งสอง:

1. ECN (Electronic Communication Network): โบรกเกอร์แบบ ECN ให้เชื่อมต่อโดยตรงกับสัญญาณการซื้อขายจากผู้เข้าร่วมตลาดหลายฝ่าย ประกอบด้วยธนาคาร, กองทุนรวม, บริษัทค้าส่งและนักลงทุนรายอื่นๆ ข้อมูลราคาที่แสดงเป็นการบันทึกความต้องการซื้อและขายจากทุกฝ่ายที่เข้าร่วม ทำให้เห็นถึงความลึกของตลาดและมีการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ในการให้สเปรดที่ดีที่สุด โบรกเกอร์ ECN ส่วนใหญ่จะเรียกค่าธรรมเนียมแบบคงที่ต่อการทำธุรกรรม

2. STP (Straight Through Processing): โบรกเกอร์แบบ STP ส่งคำสั่งซื้อขายของลูกค้าไปยังผู้ให้ความสามารถในการจัดหาลิควิดิตี้ (liquidity providers) ซึ่งโดยทั่วไปจะเป็นธนาคารหลักหรือบริษัทค้าส่ง โบรกเกอร์จะเลือกผู้ให้ความสามารถในการจัดหาลิควิดิตี้ที่ให้ราคาที่ดีที่สุดในขณะนั้นแล้วส่งคำสั่งซื้อขายตาม โบรกเกอร์ STP มักจะทำเงินจากสเปรด หรือผลต่างระหว่างราคาซื้อและขาย ที่เปิดให้เห็นอยู่ในขณะนั้น

ทั้งสองโบรกเกอร์นี้จะไม่แทรกแซงกับคำสั่งซื้อขายของลูกค้า ทำให้ไม่มีความขัดแย้งระหว่างผลประกอบการของโบรกเกอร์และผลประกอบการของลูกค้า ซึ่งแตกต่างจากโบรกเกอร์ที่มีการทำธุรกรรมภายใน (Dealing Desk) ที่ให้การเทรดภายในโบรกเกอร์เองและอาจมีความขัดแย้งกับผลประกอบการของลูกค้า

โบรกเกอร์ forex และประเภทของโบรกเกอร์

ในตลาด Forex, โบรกเกอร์เป็นบุคคลหรือองค์กรที่เป็นตัวกลางในการซื้อขายสกุลเงิน โดยพวกเขาจะให้เครื่องมือและบริการที่จำเป็นสำหรับนักลงทุนทุกประเภท โบรกเกอร์ Forex สามารถแบ่งออกเป็นสามประเภทหลัก ได้แก่:

1. Market Makers:

โบรกเกอร์ประเภทนี้จะสร้างตลาดเองโดยให้คู่สกุลเงินแก่นักลงทุน โบรกเกอร์ประเภทนี้จะเสนอราคาที่พวกเขาพร้อมซื้อและขายสกุลเงิน และพวกเขาทำกำไรจากสเปรด ซึ่งคือการตั้งราคาขายสูงกว่าราคาซื้อ นักลงทุนหลายคนเริ่มต้นการซื้อขายสกุลเงินผ่าน Market Makers ที่เนื่องจากเขามักมีข้อกำหนดเริ่มต้นที่ต่ำ สเปรดแคบและการสนับสนุนที่ดี

2. ECN Brokers (Electronic Communication Network):

โบรกเกอร์ประเภท ECN มักจะเชื่อมต่อนักลงทุนกับธนาคารใหญ่ๆหรือผู้ให้ลิควิดิตี้หลายแห่งเพื่อให้ราคาที่แข่งขันได้ โดยนักลงทุนสามารถเข้าถึงความลึกของตลาดและราคาที่ต่ำที่สุด แต่จำเป็นต้องมีสิทธิ์เข้าถึงที่สูงขึ้น

3. STP Brokers (Straight Through Processing) and NDD (No Dealing Desk):

โบรกเกอร์ประเภท STP และ NDD จะส่งคำสั่งซื้อขายของนักลงทุนไปยังตลาดอย่างตรงไปตรงมา ประเภทของโบรกเกอร์นี้ยังมักจะมีสเปรดที่แคบและเงื่อนไขการซื้อขายที่มีความยืดหยุ่น

ทั้งหมดนี้เป็นประเภทของโบรกเกอร์ Forex อย่างย่อ การเลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับประสบการณ์การลงทุนของคุณ ขนาดของบัญชี และความต้องการเพิ่มเติมในการซื้อขาย ดังนั้น มันสำคัญที่จะทำการวิจัยโบรกเกอร์ที่คุณสนใจอย่างละเอียดก่อนที่จะเปิดบัญชี

ตลาด Forex เมื่อเทียบกับตลาดอื่น ๆ

ตลาด Forex หรือที่เรียกว่าตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศหรือตลาดสกุลเงิน เป็นหนึ่งในตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดและมีสภาพคล่องมากที่สุดในโลก มันแตกต่างจากตลาดอื่น ๆ ในประเด็นสำคัญหลายประการ ลองเปรียบเทียบตลาด Forex กับตลาดการเงินทั่วไปอื่นๆ:

ขนาดและสภาพคล่อง:

ตลาด Forex: ตลาด Forex เป็นตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันมากกว่า 6 ล้านล้านดอลลาร์ (ณ ปี 2021) ขนาดที่ใหญ่โตส่งผลให้มีสภาพคล่องสูง ช่วยให้นักเทรดเข้าและออกจากตำแหน่งได้อย่างง่ายดาย
ตลาดหุ้น: ตลาดหุ้นมีความสำคัญ แต่โดยทั่วไปแล้วจะเล็กกว่าตลาดฟอเร็กซ์ สภาพคล่องอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับขนาดและความนิยมของหุ้นแต่ละตัว

เวลาทำการของตลาด:

ตลาดฟอเร็กซ์: ตลาดฟอเร็กซ์เปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ เนื่องจากลักษณะการกระจายอำนาจและการมีศูนย์การเงินทั่วโลกในเขตเวลาที่แตกต่างกัน เปิดในเย็นวันอาทิตย์และปิดในเย็นวันศุกร์ (ตามเวลาตะวันออกของสหรัฐอเมริกา)
ตลาดหุ้น: ตลาดหลักทรัพย์มีเวลาทำการซื้อขายคงที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ โดยทั่วไปจะเปิดในเวลาทำการปกติในวันธรรมดา

ตราสารการซื้อขาย:

ตลาด Forex: ตราสารหลักที่ซื้อขายใน Forex คือคู่สกุลเงิน นักเทรดคาดการณ์มูลค่าสัมพัทธ์ของสกุลเงินหนึ่งเทียบกับอีกสกุลเงินหนึ่ง (เช่น EUR/USD, USD/JPY)
ตลาดหุ้น: หุ้นแสดงถึงความเป็นเจ้าของในแต่ละบริษัท นอกจากหุ้นแล้ว ตราสารอื่นๆ เช่น พันธบัตร กองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยน (ETF) และตราสารอนุพันธ์ก็มีการซื้อขายในตลาดหุ้นเช่นกัน

ระเบียบการตลาด:

ตลาดฟอเร็กซ์: ตลาดฟอเร็กซ์มีการกระจายอำนาจ และผู้เข้าร่วมประกอบด้วยธนาคาร สถาบันการเงิน โบรกเกอร์ และนักเทรดรายย่อย มันไม่ได้ซื้อขายในการแลกเปลี่ยนแบบรวมศูนย์ อย่างไรก็ตาม โบรกเกอร์ฟอเร็กซ์อาจถูกควบคุมในเขตอำนาจศาลของตนเพื่อให้แน่ใจว่ามีการปฏิบัติที่เป็นธรรม
ตลาดหุ้น: โดยทั่วไปแล้ว ตลาดหุ้นจะรวมศูนย์และควบคุมอย่างเข้มงวด แต่ละประเทศมีหน่วยงานกำกับดูแลของตนเองเพื่อดูแลกิจกรรมในตลาดหุ้นและปกป้องนักลงทุน

Leverage:

ตลาดฟอเร็กซ์: การซื้อขายฟอเร็กซ์มักจะช่วยให้เลเวอเรจสูงขึ้นเมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆ ซึ่งหมายความว่าผู้ค้าสามารถควบคุมตำแหน่งที่ใหญ่ขึ้นด้วยเงินทุนที่น้อยลง อย่างไรก็ตาม เลเวอเรจที่สูงขึ้นก็เพิ่มความเสี่ยงเช่นกัน
ตลาดหุ้น: โดยทั่วไป เลเวอเรจในตลาดหุ้นจะต่ำกว่า โดยเฉพาะนักลงทุนรายย่อย และจะแตกต่างกันไปตามกฎระเบียบของประเทศ

อิทธิพลของตลาด:

ตลาด Forex: ตลาด Forex ได้รับอิทธิพลจากปัจจัยต่างๆ รวมถึงตัวบ่งชี้ทางเศรษฐกิจ เหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ นโยบายของธนาคารกลาง และอัตราดอกเบี้ย
ตลาดหุ้น: ตลาดหุ้นได้รับอิทธิพลจากปัจจัยเฉพาะของบริษัท (รายได้ สถานะทางการเงิน) และแนวโน้มเศรษฐกิจในวงกว้าง