dow theory คืออะไร ทฤษฎี dow theory 6 ข้อ หนังสือแนะนำ

dow theory คืออะไร

dow theory คืออะไร ทฤษฎี dow theory 6 ข้อ
dow theory คืออะไร ทฤษฎี dow theory 6 ข้อ

ทฤษฎีดาว (Dow Theory) เป็นหนึ่งในทฤษฎีสำคัญในการวิเคราะห์หุ้นและตลาดทุนที่ได้รับความนิยมมากในวงการการลงทุนและการซื้อขายหลายสิบปี ให้ความสำคัญกับการตรวจสอบราคาของดัชนีดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average) เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มในตลาดหุ้น. ระบบนี้ถูกสร้างขึ้นโดย Charles Dow และนำมาพัฒนาต่อโดย Robert Rhea และนักวิเคราะห์อื่น ๆ ในภายหลัง ทฤษฎีดาวมีการใช้แนวคิดของการวิเคราะห์กราฟราคาและข้อมูลทางเทคนิคเพื่อทำนายแนวโน้มของตลาดหุ้น และเป็นหลักการสำคัญที่นักลงทุนใช้เพื่อบริหารความเสี่ยงและตัดสินใจในการลงทุนในตลาด

ทฤษฎี dow theory 6 ข้อ

หลักการสำคัญในการวิเคราะห์และทำนายแนวโน้มของตลาด นักลงทุนควรใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการตัดสินใจในการลงทุน แต่ต้องระมัดระวังและมีความรู้ความเข้าใจในความซับซ้อนของการวิเคราะห์ตลาดเพื่อลดความเสี่ยงในการตัดสินใจการลงทุนในตลาดการเงิน ทฤษฎีดาว (Dow Theory) มีหกข้อหลักที่เน้นความสำคัญในการวิเคราะห์และทำนายแนวโน้มของตลาดทางการเงิน ข้อหกข้อนี้มีดังนี้

ราคาสะท้อนทุกอย่าง

ข้อกำหนดที่ราคาสะท้อนทุกอย่าง (The Price Discounts Everything) เป็นหลักการสำคัญในทฤษฎีดาว (Dow Theory) และหมายถึงความเชื่อว่าราคาของหลักทรัพย์หรือตลาดสามารถสะท้อนผลของข้อมูลทั้งหมดที่มีผลต่อราคาของหลักทรัพย์นั้น ๆ และไม่เพียงแต่ข้อมูลทางเศรษฐกิจเท่านั้น นี่คือการอธิบายข้อกำหนดนี้อย่างละเอียด:

    1. ราคาเป็นผลลัพธ์ของข้อมูลทั้งหมด: หลักการนี้มองว่าราคาของหลักทรัพย์หรือตลาดไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยเดียว เช่น ข้อมูลทางเศรษฐกิจ ความเจ็บปวดใจของบริษัท ข่าวสารทางการเมือง เป็นต้น แต่ยังรวมถึงปัจจัยที่อาจไม่สามารถวัดหรือประมาณได้ด้วยค่าเงิน ได้แก่อารมณ์และสัญชาตญาณของนักลงทุน
    2. ราคาเป็นผลลัพธ์ของความรู้สึกและความคาดหวัง: ราคาของหลักทรัพย์สามารถประมาณได้ว่านักลงทุนรู้สึกอย่างไรต่อสถานการณ์ขณะนั้นและคาดหวังอะไรกับตลาดในอนาคต ถ้านักลงทุนมีความเชื่อในการขาขึ้นของตลาด พวกเขาจะสนใจซื้อหรือถือหลักทรัพย์ ซึ่งอาจก่อให้เกิดการขึ้นของราคา อย่างละเอียดมากขึ้น
    3. ราคาสะท้อนคาดหวังในอนาคต: นักลงทุนที่ใช้หลักการนี้จะพยายามทำนายทิศทางของราคาในอนาคตโดยการวิเคราะห์อารมณ์และคาดหวังของนักลงทุน การเข้าใจความรู้สึกและทิศทางที่คาดหวังของนักลงทุนเป็นสิ่งสำคัญในการตัดสินใจการลงทุน
    4. ข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญที่สุด: ราคาเป็นผลลัพธ์ของข้อมูลทั้งหมดที่มีผลต่อตลาด และนักลงทุนควรใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการตัดสินใจการลงทุน การเข้าใจว่าข้อมูลสิ่งนี้มีผลต่อราคาหลักทรัพย์และตลาดเป็นสิ่งสำคัญในการวิเคราะห์และการเลือกหลักทรัพย์ที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนของพวกเขา

ตลาดมีสามแนวโน้ม

หลักการ “ตลาดมีสามแนวโน้ม” (Markets Have Three Trends) ในทฤษฎีดาว (Dow Theory) ระบุว่าในตลาดการเงินแต่ละตลาดจะมีสามแนวโน้มหลัก ซึ่งเป็นสภาวะหรือการเคลื่อนไหวของราคาที่สำคัญ แต่ละแนวโน้มมีลักษณะและลักษณะเฉพาะตัวดังนี้:

    1. แนวโน้มขาขึ้น (Uptrends): แนวโน้มขาขึ้นหมายถึงการขยับขึ้นของราคาในระยะเวลาที่หนึ่ง ในแนวโน้มนี้ ราคาของหลักทรัพย์หรือตลาดมีคว tend to make higher highs and higher lows ซึ่งหมายถึงจุดสูงสุดใหม่ที่สูงกว่าและจุดต่ำสุดใหม่ที่สูงกว่าในระยะเวลาที่กำหนด นักลงทุนที่เชื่อในแนวโน้มขาขึ้นมักพยายามซื้อหลักทรัพย์ในราคาต่ำและคาดหวังว่าราคาจะขยับขึ้นต่อไป แนวโน้มขาขึ้นในทางทั่วไปเกิดขึ้นเมื่อตลาดมีภูมิภาคบวกและนักลงทุนมีความคาดหวังในการเพิ่มผลกำไร
    2. แนวโน้มขาลง (Downtrends): แนวโน้มขาลงหมายถึงการขยับลงของราคาในระยะเวลาที่หนึ่ง ในแนวโน้มนี้ ราคาของหลักทรัพย์หรือตลาดมีค tend to make lower highs and lower lows ซึ่งหมายถึงจุดสูงสุดใหม่ที่ต่ำกว่าและจุดต่ำสุดใหม่ที่ต่ำกว่าในระยะเวลาที่กำหนด นักลงทุนที่เชื่อในแนวโน้มขาลงมักพยายามขายหลักทรัพย์ในราคาสูงและคาดหวังว่าราคาจะขยับลงต่อไป แนวโน้มขาลงเกิดขึ้นเมื่อตลาดมีภูมิภาคลบและนักลงทุนมีความกลัวหรือความไม่มั่นใจในการลงทุน
    3. แนวโน้มแบบแนวนอน (Sideways Trends): แนวโน้มแบบแนวนอนหมายถึงราคาของหลักทรัพย์หรือตลาดขยับขึ้นและลงอย่างไม่แน่นอนในระยะเวลาที่กำหนด ราคาอาจที่จะค้างอยู่ในช่วงราคาที่แน่นอนเป็นระยะเวลานาน นักลงทุนบางครั้งจะรอโอกาสในระดับราคาที่เหมาะสมในระหว่างแนวโน้มแบบแนวนอน แนวโน้มแบบแนวนอนเกิดขึ้นเมื่อตลาดมีความกลัวหรือไม่มีทิศทางชัดเจนและนักลงทุนมีความรอคอยในการเคลื่อนไหวของราคาในอนาคต

แนวโน้มมีสามระยะ

หลักการ “แนวโน้มมีสามระยะ” (Trends Have Three Phases) ในทฤษฎีดาว (Dow Theory) นำเสนอแนวคิดว่าแนวโน้มของตลาดมักจะผ่านสามระยะสำคัญ ระยะเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการวิเคราะห์และทำนายการเคลื่อนไหวของตลาด ของแนวโน้มขาขึ้นหรือขาลง ดังนี้:

    1. ระยะสะสม (Accumulation Phase): ระยะแรกของแนวโน้มมีชื่อเรียกว่า “ระยะสะสม” ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากระยะการตลาดหมี (Bear Market) หรือระยะการตลาดที่ราคาลงต่ำลง ในระยะนี้นักลงทุนที่เคยกังวลหรือระวังมากเริ่มเข้ามาซื้อหลักทรัพย์ในราคาต่ำ เป็นช่วงที่นักลงทุนชาวใหม่เข้ามาเปิดท่าที่ระยะนี้
    2. ระยะมวลชน (Public Participation Phase): หลังจากระยะสะสมเสร็จสิ้นแล้ว ระยะถัดไปคือ “ระยะมวลชน” ในระยะนี้ ราคาของหลักทรัพย์หรือตลาดมักขยับขึ้นอย่างรวดเร็ว นักลงทุนใหญ่เริ่มเข้าร่วมการซื้อขายและช่วงนี้มีความตื่นตาตื่นใจมากขึ้น ปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
    3. ระยะแจกจ่าย (Distribution Phase): ระยะสุดท้ายของแนวโน้มคือ “ระยะแจกจ่าย” ในระยะนี้ นักลงทุนใหญ่มักเริ่มขายออกและช่วงนี้มีความขัดแย้งระหว่างกลุ่มนักลงทุน ราคาของหลักทรัพย์หรือตลาดเริ่มต้นขาลง นักลงทุนที่รู้ล่วงหน้าอาจจะเริ่มขายออกเพื่อหลีกเลี่ยงความขาดทุน

ราคาต้องยืนยันกันและกัน

หลักการ “ราคาต้องยืนยันกันและกัน” (Price Must Confirm) ในทฤษฎีดาว (Dow Theory) เน้นความสำคัญของการยืนยันแนวโน้มของราคาในตลาด โดยหลักการนี้ระบุว่าแนวโน้มของราคาควรจะต้องเหมือนกันหรือยืนยันกันในหลาย ๆ ด้านของตลาดเพื่อให้มีความเชื่อมั่นในแนวโน้มนั้นๆ นี่คือการอธิบายข้อดีของหลักการ “ราคาต้องยืนยันกันและกัน” อย่างละเอียด:

    1. การยืนยันแนวโน้ม: เมื่อแนวโน้มของราคาสอดคล้องกับแนวโน้มในด้านอื่น ๆ ของตลาด นักลงทุนจะมีความมั่นใจมากขึ้นในการตัดสินใจในการลงทุนหรือซื้อขาย การเห็นแนวโน้มที่ยืนยันกันให้สัญญาณในการดำเนินการ
    2. ความมั่นใจในการตัดสินใจ: การเห็นแนวโน้มที่ยืนยันกันช่วยให้นักลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้นในการตัดสินใจการลงทุน เนื่องจากมีความสอดคล้องในทิศทางของแนวโน้มระหว่างตลาด
    3. ลดความเสี่ยง: การเห็นแนวโน้มที่ยืนยันกันช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุน เนื่องจากนักลงทุนสามารถใช้ข้อมูลแนวโน้มในการวิเคราะห์และตัดสินใจการลงทุนอย่างมั่นใจมากขึ้น
    4. การวิเคราะห์ตลาดที่เป็นระบบ: หลักการนี้ช่วยให้นักลงทุนมีการวิเคราะห์ตลาดที่มีระบบและมีความสัมพันธ์กัน ซึ่งช่วยในการตัดสินใจในการลงทุนให้มีข้อมูลที่มั่นคง
    5. ความเชื่อถือในแนวโน้ม: การมีแนวโน้มที่ยืนยันกันช่วยให้นักลงทุนมีความเชื่อถือในแนวโน้มนั้น ๆ และรู้ว่ามีส่วนในการสร้างความมั่นใจในการลงทุน

ถ้าตลาดจะมีแนวโน้ม ต้องมีปริมาณยืนยัน

หลัก Dow Theory ที่ว่า “ถ้าตลาดจะมีแนวโน้ม ต้องมีปริมาณยืนยัน (Volume Must Confirm)” เป็นหลักการที่ระบุว่าเมื่อมีแนวโน้มที่ชัดเจนในตลาด ปริมาณการซื้อขายต้องเพิ่มขึ้นและยืนยันแนวโน้มนั้น เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยกำหนดความเสถียรของแนวโน้มนั้นๆ และช่วยให้นักลงทุนมีความมั่นใจในการตัดสินใจการลงทุนของตนเอง นี่คือการอธิบายและความสำคัญของหลัก Dow Theory นี้:

    1. ปริมาณการซื้อขาย (Volume): การซื้อขายในตลาดส่วนใหญ่ถูกบันทึกเป็นปริมาณ หรือจำนวนหน่วยของหลักทรัพย์ที่ถูกซื้อขายในระหว่างการซื้อและขาย ปริมาณเป็นสิ่งสำคัญในการวิเคราะห์ตลาด เนื่องจากมันช่วยในการตรวจสอบความสอดคล้องระหว่างราคาและแนวโน้มที่เกิดขึ้น
    2. ปริมาณยืนยันแนวโน้ม (Volume Confirmation): หลัก Dow Theory ระบุว่าถ้ามีแนวโน้มที่ชัดเจนในตลาด (เช่น แนวโน้มขาขึ้นหรือขาลง) ปริมาณการซื้อขายควรเพิ่มขึ้นและยืนยันแนวโน้มนั้น นั่นหมายความว่า ปริมาณการซื้อขายต้องสอดคล้องกับแนวโน้มราคาที่เกิดขึ้น เมื่อราคาขึ้น ปริมาณการซื้อขายควรเพิ่มขึ้น และเมื่อราคาลง ปริมาณการขายควรเพิ่มขึ้น
    3. ความสอดคล้องระหว่างราคาและปริมาณ (Price-Volume Divergence): หลัก Dow Theory ระบุว่าความสอดคล้องระหว่างราคาและปริมาณเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าราคาขึ้นแต่ปริมาณการซื้อขายลดลง หรือถ้าราคาลงแต่ปริมาณการขายไม่เพิ่มขึ้น อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความขัดแย้งและความไม่สอดคล้องระหว่างการซื้อขายและแนวโน้มราคา นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าแนวโน้มนั้นอาจไม่มีความคงที่
    4. การลำเอียงของปริมาณ (Volume Slope): นอกจากปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง การลำเอียงของปริมาณก็มีความสำคัญ ถ้ามีปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นพร้อมกับการขาขึ้นของราคาและการลำเอียงของปริมาณที่เป็นบวก มีโอกาสมากที่แนวโน้มนั้นจะคงที่หรือยังคงมีความเสถียร แต่หากปริมาณการซื้อขายลดลงพร้อมกับการขาขึ้นของราคาและการลำเอียงของปริมาณเป็นลบ อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความขัดแย้งและความไม่สอดคล้อง

แนวโน้มจะเกิดอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะมีสัญญาณ

แนวโน้มจะเกิดอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะมีสัญญาณที่ชัดเจนว่าแนวโน้มจะเปลี่ยนทิศทาง (Trends Persist) หลักการสำคัญในทฤษฎีดาว (Dow Theory) และมีความหมายว่าแนวโน้มของตลาดมักจะเป็นอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงจนกว่าจะมีสัญญาณชัดเจนแสดงให้เห็นว่าแนวโน้มกำลังเปลี่ยนทิศทาง นี่คือการอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อนี้:

    1. แนวโน้มต่อเนื่อง: หลักการนี้ระบุว่าแนวโน้มของราคาหรือตลาดมักจะเกิดอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงโดยไม่มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น นักลงทุนส่วนใหญ่ควรระวังไม่พยายามทำนายการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มโดยไม่มีข้อมูลหรือสัญญาณชัดเจน
    2. สัญญาณที่ชัดเจน: แนวโน้มจะเปลี่ยนทิศทางหรือเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเมื่อมีสัญญาณที่ชัดเจนแสดงให้เห็นว่าสถานการณ์เปลี่ยนแปลง สัญญาณนี้อาจมาจากการเปลี่ยนแปลงในราคา ปริมาณการซื้อขาย หรือสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่มีผลต่อตลาด
    3. การระบุสัญญาณ: การระบุสัญญาณที่ชัดเจนเป็นสิ่งสำคัญในการวิเคราะห์และการตัดสินใจในการลงทุน สัญญาณที่ชัดเจนอาจมีการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบต่างๆ เช่น:
      • การเปลี่ยนแปลงของราคา: การขาขึ้นหรือขาลงของราคาที่มาพร้อมกับการทะยอยเปลี่ยนแปลงราคาสูงสุดหรือต่ำสุดใหม่
      • การเปลี่ยนแปลงในปริมาณการซื้อขาย: การเพิ่มหรือลดปริมาณการซื้อขายที่มากขึ้นหรือน้อยลง
      • ข้อมูลเศรษฐกิจ: ข้อมูลทางเศรษฐกิจที่มีผลต่อตลาด เช่น อัตราผลตอบแทนเศรษฐกิจ ข่าวสารที่มีผลต่อกลุ่มสินค้าหรือบริษัท
      • ภาวะอารมณ์ของนักลงทุน: ภาวะอารมณ์เช่นความกลัวหรือความมั่นใจของนักลงทุนที่ส่งผลต่อตลาด
    4. การตรวจสอบและการวิเคราะห์: นักลงทุนควรมีการตรวจสอบและการวิเคราะห์ตลาดอย่างสม่ำเสมอเพื่อตระหนักถึงสัญญาณที่ชัดเจนและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น การใช้หลักการนี้ร่วมกับการสังเกตุสถานการณ์และข้อมูลตลาดในขณะเดียวกันจะช่วยให้นักลงทุนสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มอย่างเหมาะสมและลดความเสี่ยงในการลงทุนในตลาดการเงินได้มากขึ้น.

หนังสือทฤษฎี  Dow Theory

ทฤษฎี Dow หรือ Dow Theory เป็นหนึ่งในหลักการสำคัญในการวิเคราะห์ตลาดทุน และมีหนังสือที่ยอดนิยมในการเรียนรู้เกี่ยวกับทฤษฎีนี้ นี่คือรายชื่อหนังสือที่นิยมที่สุดเกี่ยวกับทฤษฎี Dow:

  1. The Dow Theory โดย Robert Rhea
    • หนังสือเล่มนี้ถือเป็นหนังสือพื้นฐานในการเรียนรู้เกี่ยวกับทฤษฎี Dow โดย Robert Rhea เขาคือนักวิเคราะห์เทคนิคคนหนึ่งที่นำทฤษฎีของ Charles Dow มาพัฒนาต่อ โดยหนังสือเล่มนี้มีข้อมูลละเอียดเกี่ยวกับหลักการของทฤษฎี Dow รวมถึงการวิเคราะห์แนวโน้มและการกำหนดจุดเข้า-ออกตามทฤษฎีนี้
  2. Technical Analysis of Stock Trends โดย Robert D. Edwards และ John Magee
    • หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่เป็นตำราการวิเคราะห์เทคนิคที่มีชื่อเสียงและยอมรับในวงการ มีการอธิบายถึงหลักการของทฤษฎี Dow และการประยุกต์ใช้ทฤษฎีนี้ในการวิเคราะห์สต็อก นอกจากนี้ยังมีเนื้อหาเกี่ยวกับเทคนิคการวิเคราะห์อื่นๆ ที่น่าสนใจ
  3. The Dow Theory Today โดย Richard Russell
    • หนังสือเล่มนี้เป็นการอัปเดตทฤษฎี Dow ให้ทันสมัยโดย Richard Russell ซึ่งเป็นนักเขียนคอลัมน์การเงินที่มีชื่อเสียง หนังสือเล่มนี้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้ทฤษฎี Dow ในยุคปัจจุบัน และวิธีการปรับปรุงวิธีการวิเคราะห์เพื่อให้เหมาะสมกับสภาวะตลาดในปัจจุบัน

ทฤษฎี Dow Theory ใช้กับ Indicators ใดได้บ้าง

Dow Theory เป็นหลักการทางการเงินที่เน้นการวิเคราะห์แนวโน้มของตลาด และมีการใช้เครื่องมือและตัวชี้วัดต่าง ๆ เพื่อประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์ ดังนี้:

  1. Moving Averages (เครื่องมือเคลื่อนที่): Moving Averages ใช้ค่าเฉลี่ยของราคาในช่วงเวลาที่กำหนด เพื่อสร้างเส้นกราฟที่แสดงแนวโน้มของราคาและช่วยในการจับจังหวะการซื้อขาย นักลงทุนสามารถใช้ Simple Moving Average (SMA) หรือ Exponential Moving Average (EMA) เพื่อคาดการณ์แนวโน้มราคา โดยทฤษฎี Dow ระบุว่าราคาจะสะท้อนทุกอย่าง และ Moving Averages ช่วยในการวิเคราะห์แนวโน้มขาขึ้นหรือขาลงของราคา.
  2. Trendlines (เส้นแนวโน้ม): เส้นแนวโน้มใช้ในการระบุแนวโน้มของตลาดโดยการเชื่อมต่อราคาสูงสุดหรือต่ำสุดที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่กำหนด นักลงทุนสามารถใช้เส้นแนวโน้มเพื่อระบุแนวโน้มขาขึ้นหรือขาลงและวางแผนการซื้อขายตามแนวโน้มที่ระบุ.
  3. Price and Volume Indicators (ตัวชี้วัดราคาและปริมาณ): ตัวชี้วัดราคาและปริมาณการซื้อขาย เช่น On Balance Volume (OBV) และ Chaikin Money Flow (CMF) ใช้ในการวัดความสัมพันธ์ระหว่างราคาและปริมาณการซื้อขาย นักลงทุนสามารถใช้ตัวชี้วัดเหล่านี้เพื่อคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงในแนวโน้มของตลาดและสร้างสัญญาณซื้อขาย.

Author

  • thaiforexsupport

    ประสบการณ์การเทรด Forex ตั้งแต่ปี 2013 เข้าตลาด Forex เลยสร้างเว็บมาเพื่อแบ่งปันข้อมูลการเทรด และเทคนิค

    View all posts