Inflation คืออะไร เงินเฟ้อ มีกี่แบบ การแก้ไขเงินเฟ้อ และเครื่องมือ ทฤษฎีเกี่ยวกับเงินเฟ้อ

Inflation คืออะไร

การเฟ้อเงิน (Inflation) คือกระบวนการที่ราคาของสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นในระยะเวลาหนึ่ง ๆ ซึ่งทำให้มูลค่าของเงินลดลง กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเมื่อเวลาผ่านไป แต่ละหน่วยสกุลเงินจะซื้อสินค้าและบริการน้อยลง โดยทั่วไปเงินเฟ้อจะแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์ที่เพิ่มขึ้นต่อปีในดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) หรือดัชนีราคาขายส่ง (WPI) ซึ่งเป็นมาตรการที่ติดตามการเปลี่ยนแปลงของต้นทุนของสินค้าและบริการในตะกร้าคงที่เมื่อเวลาผ่านไป
Inflation คืออะไร
Inflation คืออะไร

สาเหตุของเงินเฟ้อ

  1. ภาวะเงินเฟ้อแบบดึงอุปสงค์: สิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อความต้องการสินค้าและบริการมีมากกว่าอุปทาน เป็นกรณีคลาสสิกของเงินมากเกินไปเพื่อไล่ตามสินค้าน้อยเกินไป สิ่งนี้สามารถเกิดขึ้นได้ในประเทศที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว
  2. ภาวะเงินเฟ้อที่ผลักดันต้นทุน: สิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อต้นทุนในการผลิตสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผู้ผลิตลดอุปทานหรือเพิ่มราคาเพื่อรักษาอัตรากำไรไว้ อัตราเงินเฟ้อประเภทนี้มักเกิดขึ้นเมื่อค่าจ้างหรือราคาวัตถุดิบสูงขึ้น
  3. เงินเฟ้อในตัว: สิ่งนี้เรียกอีกอย่างว่าภาวะเงินเฟ้อตามราคาค่าจ้าง และเกิดขึ้นเมื่อคนงานต้องการค่าจ้างที่สูงขึ้น และหากพวกเขาได้รับค่าจ้างที่สูงขึ้น ธุรกิจต่างๆ ก็จะขึ้นราคาเพื่อชดเชยต้นทุนค่าจ้างที่สูงขึ้น วงจรนี้อาจทำให้อัตราเงินเฟ้อหมุนวนจนควบคุมไม่ได้
  4. นโยบายการเงิน: ธนาคารกลาง เช่น Federal Reserve ในสหรัฐอเมริกาควบคุมปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ และการกระทำของธนาคารกลางอาจนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อหรือภาวะเงินฝืด
  5. อัตราแลกเปลี่ยน: หากมูลค่าสกุลเงินของประเทศลดลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น ราคาสินค้านำเข้าจะสูงขึ้น และอาจก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ
  6. ความคาดหวังของเงินเฟ้อในอนาคต: หากผู้คนคาดหวังถึงภาวะเงินเฟ้อในอนาคต พวกเขามีแนวโน้มที่จะซื้อตอนนี้มากกว่าทีหลัง ความต้องการที่เพิ่มขึ้นนี้ทำให้ราคาสูงขึ้น ทำให้เกิดอัตราเงินเฟ้อที่แท้จริง

ประเภทของอัตราเงินเฟ้อ

  1. ภาวะเงินเฟ้อคืบคลานหรือเล็กน้อย (Creeping or Mild Inflation)
  2. ภาวะเงินเฟ้อแบบเดินหรือปานกลาง (Walking or Moderate Inflation)
  3. อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูง (Galloping Inflation)
  4. ภาวะเงินเฟ้อรุนแรง (Hyperinflation)

ผลกระทบของอัตราเงินเฟ้อ

  1. การพังทลายของกำลังซื้อ: เมื่ออัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น อำนาจการซื้อของหน่วยสกุลเงิน (เช่น ดอลลาร์หรือยูโร) จะลดลง
  2. การใช้จ่ายที่บิดเบี้ยว: อัตราเงินเฟ้อที่สูงอาจทำให้ผู้คนเปลี่ยนนิสัยการใช้จ่าย โดยมักจะซื้อสินค้าคงทนเพื่อสะสมมูลค่า
  3. ความไม่แน่นอน: อัตราเงินเฟ้อสามารถสร้างความไม่แน่นอนในระบบเศรษฐกิจ ทำให้การวางแผนระยะยาวทำได้ยาก
  4. ต้นทุนเมนู: ธุรกิจต้องเปลี่ยนราคาบ่อยครั้ง ซึ่งอาจทำให้ปวดหัวด้านลอจิสติกส์ได้
  5. อัตราดอกเบี้ย: อัตราเงินเฟ้อมีผลกระทบโดยตรงต่ออัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อที่สูงมักจะนำไปสู่อัตราดอกเบี้ยที่สูง
  6. การออมและการลงทุน: อัตราเงินเฟ้อกัดกร่อนมูลค่าที่แท้จริงของการออม เว้นแต่ว่าอัตราดอกเบี้ยที่ได้รับจะสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ
  7. การกระจายรายได้: อัตราเงินเฟ้ออาจส่งผลกระทบต่อกลุ่มต่างๆ อย่างไม่เป็นสัดส่วน ตัวอย่างเช่น บุคคลที่เกษียณอายุแล้วโดยมีรายได้คงที่อาจได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง

เงินเฟ้อ มีกี่แบบ

การเงินเฟ้อ (Inflation) มักจะถูกแบ่งออกเป็นหลายแบบตามสาเหตุและผลกระทบที่เกิดขึ้น ซึ่งสามารถระบุได้ดังนี้

ขึ้นอยู่กับอัตรา

  1. ภาวะเงินเฟ้อคืบคลานหรือเล็กน้อย (Creeping or Mild Inflation): อัตราเงินเฟ้อต่ำ โดยทั่วไปจะน้อยกว่า 3% โดยทั่วไปอัตราเงินเฟ้อในระดับนี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติในระบบเศรษฐกิจที่กำลังเติบโต
  2. ภาวะเงินเฟ้อแบบเดินหรือปานกลาง (Walking or Moderate Inflation): อัตราเงินเฟ้ออยู่ระหว่าง 3% ถึง 10% แม้จะไม่ได้น่าตกใจในทันที แต่ก็สามารถส่งสัญญาณถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้หากยังคงเพิ่มขึ้นต่อไป
  3. อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูง (Galloping Inflation): นี่คือเมื่ออัตราเงินเฟ้อเกิน 10% และสูงถึงหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ต่อปี ณ จุดนี้ อัตราเงินเฟ้อส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเสถียรภาพของเศรษฐกิจ
  4. ภาวะเงินเฟ้อรุนแรง (Hyperinflation): นี่เป็นอัตราเงินเฟ้อที่สูงมาก ซึ่งมักจะเกิน 50% ต่อเดือน เงินสูญเสียมูลค่าอย่างรวดเร็วจนแนวคิดเรื่องสกุลเงินเริ่มสูญเสียความหมาย

ขึ้นอยู่กับสาเหตุ

  1. เงินเฟ้อจากความต้องการ (Demand-pull Inflation): เกิดขึ้นเมื่อความต้องการของผู้บริโภคหรือรัฐบาลเพิ่มขึ้นเกินความสามารถในการผลิตของเศรษฐกิจ ทำให้ราคาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น
  2. เงินเฟ้อจากต้นทุน (Cost-push Inflation): เกิดจากการที่ต้นทุนในการผลิตสินค้าหรือบริการเพิ่มขึ้น เช่น ราคาน้ำมันหรือวัตถุดิบเพิ่ม ผลิตภัณฑ์จึงมีราคาสูงขึ้น
  3. เงินเฟ้อจากสัญจร (Built-in Inflation หรือ Wage-price Inflation): เกิดจากการที่ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นและเป็นการกระตุ้นให้มีการเพิ่มเงินเดือน ซึ่งเมื่อเงินเดือนเพิ่มขึ้น ราคาสินค้าก็จะถูกปรับขึ้นอีก
  4. เงินเฟ้อจากความคาดหมาย (Expectation-based Inflation)**: เกิดขึ้นเมื่อคนคาดหวังว่าราคาจะเพิ่มขึ้นในอนาคต และจึงเริ่มซื้อสินค้าในปัจจุบัน ทำให้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ขึ้นอยู่กับผลกระทบ

  1. เปิดภาวะเงินเฟ้อ (Open Inflation): ราคาเพิ่มขึ้นอย่างเปิดเผยและอัตราเงินเฟ้อประเภทนี้สามารถมองเห็นได้
  2. ภาวะเงินเฟ้อที่ถูกระงับ (Suppressed Inflation): หรือเรียกอีกอย่างว่าภาวะเงินเฟ้อที่ถูกกด ในที่นี้ ราคาต้องการที่จะเพิ่มขึ้น แต่รัฐบาลกลับถูกควบคุมโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งมักเกิดขึ้นได้จากการควบคุมราคาหรือการปันส่วน

ประเภทอื่นๆ

  1. เงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation): ไม่รวมรายการต่างๆ เช่น ราคาอาหารและพลังงานซึ่งมีความผันผวนของราคา มักใช้เป็นตัวชี้วัดอัตราเงินเฟ้อในระยะยาว
  2. เงินเฟ้อทั่วไป (Headline Inflation): รวมรายการทั้งหมด รวมถึงอาหารและพลังงาน ตัวเลขนี้มีความผันผวนมากกว่าและเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะประสบในชีวิตประจำวันมากที่สุด
  3. ภาวะเงินเฟ้อของสินทรัพย์ (Asset Inflation): นี่คือช่วงที่ราคาของสินทรัพย์ เช่น ที่อยู่อาศัย หุ้น ฯลฯ เพิ่มขึ้น
  4. เศรษฐกิจถดถอย (Stagflation): คือ การเกิดการเงินเฟ้อและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ช้าหรือไม่เติบโต (stagnation) ในเวลาเดียวกัน มักจะเกิดเมื่อมีการเพิ่มต้นทุนและความต้องการลดลง
  5. ภาวะเงินเฟ้อนำเข้า (Imported Inflation): สิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อราคาสินค้าและบริการนำเข้าเพิ่มขึ้น
  6. ภาวะเงินฝืด (Deflation)**: สิ่งนี้ตรงกันข้ามกับอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งระดับราคาโดยทั่วไปกำลังลดลง แม้ว่าจะไม่ใช่ประเภทของอัตราเงินเฟ้อ แต่ก็มักมีการพูดคุยกันในบริบทเดียวกัน

การแก้ไขเงินเฟ้อ และเครื่องมือ

การแก้ไขเรื่องเงินเฟ้อ (Inflation Correction) หมายถึงการปรับตัวของตัวเลขทางการเงินต่างๆ เพื่อที่จะรองรับสภาพที่มีกำลังซื้อลดลงเนื่องจากเงินเฟ้อ สิ่งนี้สำคัญสำหรับการเปรียบเทียบค่าจริงโดยเวลา การตัดสินใจลงทุน และการวางแผนสำหรับอนาคต

เครื่องมือสำหรับการแก้ไขเงินเฟ้อ

  1. เงินดอลลาร์คงที่ (Constant Dollars): การปรับดอลลาร์ที่มีในปัจจุบันให้มีกำลังซื้อคงที่ โดยลบส่วนประกอบของการเฟ้อเงินออก การทำเช่นนี้บ่งบอกด้วยข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index: CPI)
  2. อัตราดอกเบี้ยที่ปรับตามเงินเฟ้อ (Real Interest Rates): คำนวณโดยการลบอัตราเงินเฟ้อออกจากอัตราดอกเบี้ยปกติ สิ่งนี้จะให้ภาพที่ถูกต้องยิ่งขึ้นของผลตอบแทนของการลงทุนหรือค่าใช้จ่ายที่แท้จริงของเงินกู้
  3. พันธบัตรที่ปรับตามเงินเฟ้อ: พันธบัตรที่การชำระเงินถูกปรับตามเงินเฟ้อ ตัวอย่างหลักทรัพย์ที่ได้รับการคุ้มครองเงินเฟ้อของกระทรวงการคลัง Treasury Inflation-Protected Securities (TIPS)ในสหรัฐอเมริกา
  4. การปรับค่าครองชีพ (COLAs): ปรับเงินเดือน บำนาญ หรือสิทธิประโยชน์เพื่อรักษาค่าเงินจริงในระยะเวลา
  5. ตัวปรับลด (Deflators): ชุดข้อมูลเศรษฐกิจ เช่น ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) สามารถปรับตามเงินเฟ้อโดยใช้ตัวปรับลด ทำให้สามารถเปรียบเทียบในเงื่อนไขที่จริงได้
  6. การวิเคราะห์กระแสเงินสดที่ตัดส่วนลด (Discounted Cash Flow: DCF Analysis): ในการเงินธุรกิจและการวิเคราะห์การลงทุน กระแสเงินสดในอนาคตมักถูกลดลงโดยอัตราที่รวมของเงินเฟ้อ เพื่อกำหนดค่าปัจจุบัน

เครื่องมือในการควบคุมอัตราเงินเฟ้อ

ธนาคารกลางและรัฐบาลสามารถใช้เครื่องมือที่หลากหลายเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ:
  1. อัตราดอกเบี้ย (Interest Rates): เครื่องมือที่มักใช้กันมากที่สุดในการควบคุมเฟ้อเงิน โดยการเพิ่มอัตราดอกเบี้ย ธนาคารกลางสามารถลดปริมาณเงินในระบบและลดการใช้จ่ายของผู้บริโภค
  2. การดำเนินการในตลาดเปิด (Open Market Operations: OMO): ธนาคารกลางซื้อหรือขายหลักทรัพย์ของรัฐบาลเพื่อควบคุมปริมาณเงิน การขายหลักทรัพย์จะนำเงินออกจากระบบเศรษฐกิจและใช้เพื่อต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ
  3. ข้อกำหนดการสำรอง (Reserve Requirements): ธนาคารกลางสามารถกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ถือเงินสดในรูปของเงินสำรองเป็นเปอร์เซ็นต์บางส่วนของเงินฝาก เพื่อจำกัดความสามารถในการสร้างเงินใหม่ผ่านการออกสินเชื่อ
  4. มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing: QE): โดยทั่วไปใช้เพื่อต่อสู้กับภาวะเงินฝืดหรือกระตุ้นเศรษฐกิจ QE จะเพิ่มปริมาณเงินในระบบและอาจนำไปสู่แรงกดดันเงินเฟ้อได้หากไม่ได้รับการจัดการอย่างระมัดระวัง
  5. การแข็งค่าของสกุลเงิน (Currency Appreciation): การเพิ่มมูลค่าของสกุลเงินของประเทศเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ สินค้านำเข้าจะมีราคาถูกลง ซึ่งสามารถช่วยต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อได้
  6. นโยบายการคลัง (Fiscal Policy): รัฐบาลสามารถลดการใช้จ่ายสาธารณะหรือเพิ่มภาษีเพื่อลดความต้องการทั้งหมดในเศรษฐกิจ เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ
  7. การควบคุมค่าจ้างและราคา (Wage and Price Controls): เป็นเครื่องมือที่น้อยครั้งและมักไม่มีประสิทธิภาพในการควบคุมเงินเฟ้อการควบคุมราคาหรือค่าจ้างงานเป็นการตั้งราคาหรือค่าจ้างงานโดยตรงเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ แต่อาจนำไปสู่ปัญหาเช่นการขาดแคลนได้
  8. นโยบายด้านอุปทาน (Supply-Side Policies): การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตหรือลดต้นทุนของผู้ผลิตสามารถช่วยลดอัตราเงินเฟ้อที่เกิดจากต้นทุนได้
  9. การจัดการความคาดหวังของสาธารณะ (Public Expectation Management): บางครั้งธนาคารกลางพยายามที่จะโน้มน้าวความคาดหวังของสาธารณะเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อในอนาคต เนื่องจากคาดหวังเหล่านี้อาจกลายเป็นความเป็นจริง
  10. นโยบายด้านการค้า (Trade Policies): การเรียกเก็บอากรหรือใช้โควตาในสินค้าที่นำเข้าอาจนำมาใช้ควบคุมอัตราเงินเฟ้อ แต่เป็นวิธีที่ไม่ค่อยต้องการเนื่องจากมีผลกระทบที่เป็นลบต่อการค้าขาเข้า

ทฤษฎีเกี่ยวกับเงินเฟ้อ

ทฤษฎีเกี่ยวกับเงินเฟ้อมีหลายทฤษฎีที่อธิบายกระบวนการและปัจจัยที่เป็นต้นเหตุของเฟ้อเงินในเศรษฐศาสตร์ ดังนี้
  1. ทฤษฎีของปริมาณเงิน (Quantity Theory of Money): ทฤษฎีนี้กล่าวว่าเงินในระบบเศรษฐกิจมีอิทธิพลต่อราคาและเงินเฟ้อ ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณเงินและราคาของสินค้าและบริการสามารถแสดงได้ด้วยสมการ: MV = PY โดยที่ M คือปริมาณเงินในระบบ  V คืออัตราการหมุนเวียนของเงิน  P คือราคาของสินค้าและบริการ และ Y คือผลิตภาพ (GDP) ทฤษฎีนี้มองเงินเป็นสาเหตุหลักของภาวะเงินเฟ้อ
  2. ทฤษฎีของความตายตัว (Death Spiral Theory): ทฤษฎีนี้กล่าวว่าเงินเฟ้อ อาจเกิดขึ้นเมื่อคนเริ่มคาดหวังว่าราคาจะเพิ่มขึ้นในอนาคต ดังนั้นพวกเขาจะเร่งรีบซื้อสินค้าและบริการก่อนที่ราคาจะเพิ่มขึ้น ทำให้สินค้าและบริการขายได้ดี ผู้ผลิตจะเพิ่มการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการเพิ่มขึ้น ทำให้เงินเฟ้อกลายเป็นเรื่องปกติ
  3. ทฤษฎีของความเข้มงวด (Stagflation Theory): ทฤษฎีนี้กล่าวว่าเงินเฟ้อ อาจเกิดขึ้นพร้อมกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่เป็นเปรียบ ซึ่งส่งผลให้เกิดสภาวะเศรษฐกิจที่ขยับเคลื่อนช้า (Stagnation) พร้อมกับเงินเฟ้อ (Inflation) ทฤษฎีนี้อธิบายถึงปัจจัยที่ทำให้เงินเฟ้อเกิดขึ้นในสภาวะที่ผลิตภาพต่ำและความต้องการสูง
  4. ทฤษฎีของความต้องการและการเสนอ (Demand-Pull and Cost-Push Theory): ทฤษฎี Demand-Pull กล่าวว่าการเพิ่มขึ้นของการต้องการจะส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อ เนื่องจากความต้องการสูงกว่าการผลิต ทว่าทฤษฎี Cost-Push กล่าวว่าเงินเฟ้ออาจเกิดจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนในการผลิต เช่นค่าแรงงาน และทำให้ผู้ผลิตต้องเพิ่มราคาสินค้าและบริการ
  5. ทฤษฎีของการคาดหวัง (Expectations Theory): ทฤษฎีนี้เน้นการคาดหวังของประชาชนและธุรกิจเกี่ยวกับเงินเฟ้อ ถ้าคนมีความคาดหวังว่าราคาจะเพิ่มขึ้นในอนาคต พวกเขาจะเพิ่มราคาและซื้อสินค้าก่อนที่ราคาจะเพิ่มขึ้น นั่นอาจทำให้การเฟ้อเงินเกิดขึ้น
  6. ทฤษฎีของการรับมือกับผลเสียทางการเมือง (Political Fallout Theory): ทฤษฎีนี้เน้นถึงผลเสียทางการเมืองที่อาจเกิดขึ้น หากราคาของสินค้าและบริการไม่ได้เพิ่มขึ้นตามคาดหวังของประชาชน การปรับเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าและบริการอาจเกิดขึ้น เพื่อลดผลเสียทางการเมืองที่อาจจะเกิดขึ้นได้