Overbought คืออะไร สัญญาณ Overbought indicator มีกี่ประเภท

Overbought คืออะไร สัญญาณ Overbought indicator มีกี่ประเภท
Overbought คืออะไร สัญญาณ Overbought indicator มีกี่ประเภท

Overbought คืออะไร

สถานการณ์ของ Overbought คือสถานการณ์ที่ราคาหรือมูลค่าของสินทรัพย์หรือตลาดใดๆ มีแนวโน้มซื้อมากเกินไปหรืออยู่ในระดับที่สูงเกินความคาดหมาย ซึ่งสถานการณ์ Overbought นี้มักจะเกิดขึ้นเมื่อมีคนลงทุนหรือเทรดเดอร์ซื้อสินทรัพย์นั้นอย่างมาก โดยส่วนใหญ่เนื่องจากมองว่าราคาขณะนั้นสูงเกินความคาดหมายหรือมีความรุนแรงในการซื้อ ทำให้เกิดโอกาสที่ราคาจะลดลงในอนาคตหรือมีการปรับตัวลง (correction) เพื่อให้สมดุลกับสถานการณ์ตลาดใหม่ สัญญาณ Overbought จึงบ่งบอกว่าตลาดอาจจะอยู่ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างมีความเสี่ยงในการลงทุน.

สำหรับสถานการณ์ Overbought จะใช้ตัวชี้วัดหรือ indicator เพื่อช่วยในการระบุ ส่วนใหญ่จะใช้ตัวชี้วัดประเภท Oscillator เช่น Relative Strength Index (RSI) โดยในกรณีของ RSI ค่า Overbought มักถูกกำหนดไว้ที่ระดับ 80 หาก RSI มีค่าเกิน 80 นั้นจะถือว่าสินทรัพย์หรือตลาดนั้นอยู่ในสถานการณ์ Overbought และส่วนใหญ่จะเป็นสัญญาณให้ขาย (Sell) หรือรอตรวจสอบสถานการณ์ในตลาดอีกครั้ง ตัวชี้วัดอื่น ๆ ที่ใช้ในสถานการณ์ Overbought รวมถึง Stochastic Oscillator, Moving Average Convergence Divergence (MACD), และ Bollinger Bands ก็มีค่า Overbought ของตนเองเช่นกัน แต่ค่า Overbought ที่นิยมสำหรับแต่ละตัวชี้วัดอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับการใช้งานและกฎอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในการวิเคราะห์ตลาด.

สัญญาณ Overbought indicator มีกี่ประเภท

สัญญาณ Overbought indicator มีหลายประเภท โดยตัวชี้วัดหรือ indicator ที่ใช้ในการระบุสถานการณ์ Overbought อาจแตกต่างกันตามวิธีการคำนวณและการใช้งาน อย่างไรก็ดี ตัวชี้วัดเหล่านี้มักมีการกำหนดค่า Overbought โดยทั่วไปที่ค่าเป็นค่าสูงสุดที่ถูกต้องและถูกใช้ในการวิเคราะห์

  1. Relative Strength Index (RSI): RSI เป็นตัวชี้วัดที่ใช้ในการวัดความแรงและความอ่อนแรงของราคาของสินทรัพย์ ค่า RSI อยู่ในช่วงระหว่าง 0 ถึง 100 โดยปกติค่า Overbought สำหรับ RSI ถูกกำหนดที่ระดับ 70 หรือ 80 ถ้า RSI เกินระดับนี้แล้วในกราฟของสินทรัพย์นั้น จะถือว่าสินทรัพย์มีแนวโน้มที่ซื้อมากเกินไปและอาจเกิดโอกาสในการขาย (Sell) หรือรอการปรับตัวลง.
  2. Stochastic Oscillator: Stochastic Oscillator ใช้สองค่าคือ %K และ %D เพื่อวัดความสัมพันธ์ระหว่างราคาปิดสุดสัปดาห์ล่าสุดและช่วงราคาปิดสูงสุดและต่ำสุดในช่วงเวลาที่กำหนด การใช้ %K เกินระดับ 80 จะถือว่าสินทรัพย์ Overbought และอาจเกิดสัญญาณให้ขาย.
  3. Moving Average Convergence Divergence (MACD): MACD เป็นตัวชี้วัดที่ใช้ในการวัดความแตกต่างระหว่างเรขาคณิตเคลื่อนที่ของราคา แต่ไม่มีค่า Overbought และ Oversold โดยตรง แต่ในบางกรณี การสังเกต Histogram หรือค่าการเปรียบเทียบระหว่าง MACD และ Signal line อาจช่วยในการระบุสถานการณ์ที่คล้ายกับ Overbought.
  4. Bollinger Bands: Bollinger Bands เป็นแถบกราฟที่ประกอบด้วยเส้นกลาง (middle band) และเส้นบนและเส้นล่าง (upper band และ lower band) ค่า Overbought สำหรับ Bollinger Bands มักถูกกำหนดในบริเวณ upper band ถ้าราคาอยู่ในบริเวณนี้ แล้วอาจถือว่าสินทรัพย์ Overbought และมีโอกาสลดลง.
  5. Commodity Channel Index (CCI): CCI เป็นตัวชี้วัดที่ใช้ในการวัดความแตกต่างระหว่างราคาปัจจุบันกับค่าเฉลี่ยของราคาในช่วงเวลาที่กำหนด ค่า Overbought สำหรับ CCI มักถูกกำหนดที่ระดับ +100 ถ้า CCI เกินระดับนี้ จะถือว่าสินทรัพย์ Overbought.
  6. Money Flow Index (MFI): MFI เป็นตัวชี้วัดที่ใช้ในการวัดแรงซื้อขายในตลาด ค่า Overbought สำหรับ MFI มักถูกกำหนดที่ระดับ 80 หาก MFI เกินระดับนี้ อาจถือว่าสินทรัพย์ Overbought.
  7. Rate of Change (ROC): ROC ใช้ในการวัดการเปลี่ยนแปลงของราคาในช่วงเวลาที่กำหนด ค่า Overbought สำหรับ ROC อาจถูกกำหนดตามความต้องการของผู้ใช้ โดยทั่วไปค่าบวกสูงหมายถึงสถานการณ์ Overbought.

ยกตัวอย่างการดู Overbought จาก Indicator

ตัวอย่างการดู Overbought จาก Indicator ด้วยใช้ตัวชี้วัด RSI (Relative Strength Index) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่นิยมใช้ในการตรวจสอบสถานการณ์ Overbought คือดังนี้:

  1. เลือกสินทรัพย์หรือตลาดที่ต้องการวิเคราะห์: ก่อนที่จะใช้ RSI ในการตรวจสอบ Overbought คุณจะต้องเลือกสินทรัพย์หรือตลาดที่ต้องการวิเคราะห์ เช่น หุ้นบริษัท XYZ หรือคู่สกุลเงิน EUR/USD.
  2. ดูกราฟราคา: รับข้อมูลกราฟราคาสำหรับสินทรัพย์หรือตลาดที่คุณเลือก กราฟนี้จะแสดงราคาสินทรัพย์ตลอดเวลาที่กำหนด (เช่น 1 วัน, 1 ชั่วโมง, 15 นาที, เป็นต้น).
  3. เพิ่ม RSI Indicator: ในกราฟราคาของสินทรัพย์หรือตลาดของคุณ คุณจะต้องเพิ่มตัวชี้วัด RSI ซึ่งจะปรากฏบนกราฟเป็นเส้นกราฟหรือ Histogram.
  4. ตั้งค่า RSI Indicator: ตั้งค่า RSI โดยทั่วไปค่า Overbought สำหรับ RSI ถูกกำหนดที่ระดับ 70 หรือ 80 ในกราฟ RSI จะมีเส้นเส้นแนวนอนที่ปรากฏบนกราฟ RSI และประกาศค่าเมื่อ RSI ตามสินทรัพย์หรือตลาดของคุณเข้าสู่ช่วง Overbought.
  5. วิเคราะห์สถานการณ์: เมื่อ RSI ของสินทรัพย์หรือตลาดของคุณข้ามระดับ Overbought จากด้านล่างไปด้านบนของค่าที่คุณตั้งค่า (70 หรือ 80) นี่จะเป็นสัญญาณ Overbought. ค่า RSI เกินค่า Overbought หมายความว่าสินทรัพย์หรือตลาดมีแนวโน้มที่มีการซื้อมากเกินไป และอาจมีโอกาสในการขายหรือการแก้ไขราคาลง.
  6. พิจารณาข้อมูลเพิ่มเติม: ควรพิจารณาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อทำการตัดสินใจ รวมถึงข้อมูลเทคนิคและข้อมูลพื้นฐานของสินทรัพย์หรือตลาด รวมถึงสถานการณ์ทั่วไปในตลาดที่อาจมีผลต่อการตัดสินใจในการลงทุนหรือเทรด.

ยกตัวอย่างการดู Overbought ใน MetaTrader 4 (MT4) คุณสามารถใช้ตัวชี้วัด (indicator) เพื่อดูสถานการณ์ Overbought ได้ง่ายๆ โดยใช้ตัวชี้วัด Relative Strength Index (RSI) เป็นตัวอย่าง นี่คือขั้นตอนการดู Overbought ใน MT4 โดยใช้ RSI:

  1. เปิดกราฟ: เริ่มต้นโดยเปิดโปรแกรม MetaTrader 4 และเลือกสินทรัพย์หรือตลาดที่คุณต้องการวิเคราะห์ ให้ดับเบิลคลิกที่สินทรัพย์หรือตลาดนั้นในหน้าหลักของ MT4.
  2. เพิ่ม RSI Indicator: หลังจากเปิดกราฟของสินทรัพย์หรือตลาดที่คุณสนใจ ให้คลิกที่เมนู “Insert” ด้านบนของ MT4 และเลือก “Indicators” จากนั้นเลือก “Oscillators” และคลิกที่ “Relative Strength Index (RSI)”.
  3. ตั้งค่า RSI Indicator: หลังจากที่คุณเพิ่ม RSI Indicator เข้าไปในกราฟ จะปรากฏหน้าต่าง “RSI Properties” ในส่วน “Parameters” คุณสามารถตั้งค่าค่า Overbought ได้ โดยทั่วไปค่า Overbought สำหรับ RSI จะถูกกำหนดที่ 70 หรือ 80 แต่คุณสามารถเปลี่ยนค่านี้ตามที่คุณต้องการ.
  4. ดูสถานการณ์ Overbought: เมื่อคุณตั้งค่า RSI แล้ว กราฟของ RSI จะปรากฏบนกราฟหลักของสินทรัพย์หรือตลาดของคุณ ค่า RSI จะเป็นเส้นกราฟที่แสดงค่าระหว่าง 0 ถึง 100 โดยหาก RSI เกินค่า Overbought ที่คุณตั้งค่า (เช่น 70) และเข้าสู่ช่วงค่าสูงกว่า 70 จะถือว่าสินทรัพย์หรือตลาดนั้น Overbought.
  5. การวิเคราะห์: การดูสถานการณ์ Overbought ใน MT4 ต้องการการวิเคราะห์ร่วมกับข้อมูลอื่น ๆ และการเข้าใจสถานการณ์ทั่วไปในตลาด ควรพิจารณาผลกระทบของสถานการณ์ Overbought ต่อการตัดสินใจในการลงทุนหรือเทรด.

ข้อดีและข้อเสียของ Overbought

การใช้สัญญาณ Overbought ในการวิเคราะห์ตลาดมีข้อดีและข้อเสียดังนี้:

ข้อดีของ Overbought:

  1. บ่งบอกแนวโน้มราคา: สัญญาณ Overbought ช่วยในการบ่งบอกถึงแนวโน้มราคาของสินทรัพย์หรือตลาด โดยส่วนใหญ่แสดงถึงการเติบโตของราคาที่เกินเป้าหมาย ทำให้เทรดเดอร์หรือนักลงทุนสามารถระมัดระวังและปรับกลยุทธ์ได้ตรงกับสถานการณ์นั้น.
  2. สัญญาณขาย: การเกิดสถานการณ์ Overbought มักจะถือเป็นสัญญาณให้ขายสินทรัพย์หรือลดการถือครอง โดยอาจช่วยลดความเสี่ยงในกรณีที่ราคามีแนวโน้มลดลงหรือแก้ไข.
  3. ตัวชี้วัดเทคนิค: Overbought เป็นตัวชี้วัดทางเทคนิคที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ช่วยให้นักลงทุนและเทรดเดอร์สามารถติดตามและวิเคราะห์ตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ.
  4. ความเสถียรของสัญญาณ: สัญญาณ Overbought มักเป็นสัญญาณที่มีความเสถียรมาก เนื่องจากมีการกำหนดค่าที่แน่นอนที่จะถือว่า Overbought ดังนั้นการตรวจสอบสถานการณ์นี้สามารถทำได้อย่างเป็นระบบ.

ข้อเสียของ Overbought:

  1. ไม่ใช้ได้ในทุกสถานการณ์: สัญญาณ Overbought มีข้อจำกัดในการใช้งาน โดยอาจไม่เหมาะกับสถานการณ์บางกรณี เช่น ในตลาดที่มีแนวโน้มขึ้นต่อเนื่องและราคาสามารถที่จะเพิ่มสูงขึ้นได้ในระยะยาว.
  2. สามารถเกิดสัญญาณเท็จ: บางครั้งสัญญาณ Overbought อาจเกิดขึ้นโดยไม่มีการแก้ไขราคาตามมา ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนหรือเทรดเดอร์ทำการขายสินทรัพย์ตามสัญญาณนี้และพลาดโอกาสที่ราคายังมีโอกาสเพิ่มขึ้นอีก.
  3. ไม่ใช่สำหรับระยะยาว: สัญญาณ Overbought มักใช้ในการวิเคราะห์ระยะสั้น และอาจไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนที่มีแนวโน้มสร้างพอร์ตโดยใช้การลงทุนระยะยาว.
  4. ตลาดอาจเปลี่ยนแปลง: ตลาดอาจมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และค่า Overbought ที่ถูกกำหนดไว้ในตำแหน่งแน่นอนอาจไม่มีความหมายเมื่อตลาดเปลี่ยนแปลงแนวโน้มหรือความเสี่ยง.

Author

  • thaiforexsupport

    ประสบการณ์การเทรด Forex ตั้งแต่ปี 2013 เข้าตลาด Forex เลยสร้างเว็บมาเพื่อแบ่งปันข้อมูลการเทรด และเทคนิค

    View all posts