แนวรับแนวต้าน คืออะไร วิธีวิเคราะห์แนวรับแนวต้านในตลาด forex

แนวรับแนวต้าน คืออะไร

แนวรับแนวต้าน คืออะไร วิธีวิเคราะห์แนวรับแนวต้านในตลาด forex
แนวรับแนวต้าน คืออะไร วิธีวิเคราะห์แนวรับแนวต้านในตลาด forex

แนวรับและแนวต้าน (Support และ Resistance) เป็นแนวทางสำคัญในการวิเคราะห์กราฟราคาในการซื้อขายหุ้น หรือการซื้อขายในตลาดทางการเงินอื่น ๆ รวมถึงการซื้อขายในตลาดเงินตราสากล (Forex) ดังนั้น คำวิจารณ์ข้างต้นยอมแก่ความเข้าใจและการใช้งานในบริบททางการลงทุน และการซื้อขายกลางหลักทรัพย์อื่น ๆ โดยอัตโนมัติ

  • แนวรับ (Support) คือระดับราคาที่มักจะมีการสนับสนุนหรือการซื้อเข้ามาอย่างมากเมื่อราคาหุ้นหรือสินทรัพย์ลงมาชนขวางที่ระดับนี้ นักลงทุนมองแนวรับเป็นระดับที่ราคามักจะหันกลับขึ้นหลังจากลดลงและเข้าใกล้ระดับนี้ แนวรับอาจเกิดขึ้นจากการเรียนรู้ของตลาดว่ามีผู้ซื้อมากในระดับราคานี้ หรือเพราะมีกำลังซื้อขายขายที่ต่างจากผู้ซื้อ ทำให้ราคาหันขึ้น
  • แนวต้าน (Resistance) คือระดับราคาที่มักจะมีการต้านหรือการขายเข้ามาอย่างมากเมื่อราคาหุ้นหรือสินทรัพย์สูงมาชนขวางที่ระดับนี้ นักลงทุนมองแนวต้านเป็นระดับที่ราคามักจะหันลงหลังจากขึ้นและเข้าใกล้ระดับนี้ แนวต้านอาจเกิดขึ้นเพราะผู้ลงทุนราคาสูงมีส่วนในการขายหรือเพราะมีกำลังซื้อขายซื้อที่ต่างจากผู้ขาย ทำให้ราคาหันลง

รูปแบบของแนวรับแนวต้าน

แนวรับแนวต้าน (Support และ Resistance) เป็นสิ่งสำคัญในการวิเคราะห์กราฟราคาและการซื้อขายในตลาดทางการเงิน ขออธิบายแต่ละข้อโดยละเอียดดังนี้

  1. รูปแบบเครื่องมือที่ใช้วาดเอง:ปแบบแนวรับแนวต้านสามารถวาดเองได้โดยใช้เครื่องมือต่าง ๆ ที่มีในโปรแกรมกราฟราคา เช่น เส้นแนวนอน (Horizontal Line), เส้นแนวโน้ม (Trend Line), การใช้เครื่องมือ Fibonnacci Retracement หรือแม้แต่การใช้เครื่องมือ Elliot Wave เพื่อสร้างระดับแนวรับแนวต้าน ดังนี้
    • เส้นแนวนอน (Horizontal Line): คือเส้นที่วาดขนาดนานๆ แนวตั้งบนกราฟเพื่อระบุระดับราคาที่เรียกว่าแนวรับหรือแนวต้าน ถ้าราคาลงมาและสัมผัสเส้นแนวนอนนั้นแล้วเริ่มขึ้นตาม จะถือเป็นแนวรับ และถ้าราคาขึ้นมาและสัมผัสเส้นแนวนอนนั้นแล้วเริ่มลดลง จะถือเป็นแนวต้าน.
    • เส้นแนวโน้ม (Trend Line): คือเส้นที่วาดเชื่อมระดับราคาที่สนใจเพื่อระบุแนวโน้มของตลาด ถ้าเส้นแนวโน้มลงมาและราคาเคลื่อนต่ำกว่าเส้นนี้ อาจถือเป็นแนวรับ และถ้าเส้นแนวโน้มขึ้นมาและราคาเคลื่อนขึ้นเหนือเส้นนี้ อาจถือเป็นแนวต้าน.
    • Fibonacci Retracement: เครื่องมือนี้ใช้ในการวิเคราะห์ระดับแนวรับแนวต้านโดยอิงจากค่าทางเลขศาสตร์ Fibonacci เพื่อช่วยหาระดับราคาที่มีความน่าจะเป็นสูงว่าจะเป็นแนวรับแนวต้าน.
    • Elliot Wave: เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์แนวโน้มราคาโดยอิงจากกลศาสตร์ Elliott Wave ที่บอกถึงรูปแบบการเคลื่อนไหวของราคา และช่วยในการหาแนวรับแนวต้าน.
  2. รูปแบบการกำหนดตายตัว:เป็นรูปแบบของราคาที่บ่งชี้ถึงการเคลื่อนไหวของตลาด เช่น Double Top และ Double Bottom ที่เป็นรูปแบบที่บอกถึงการเปลี่ยนแนวโน้มของราคา โดยสามารถใช้เป็นแนวรับแนวต้าน ดังนี้
    1. Double Top:ราคาเคลื่อนขึ้นและสร้างระดับต่อจากนั้นเจอกับระดับที่สูงสุด (ครั้งที่ 1) และราคาลงมาและหลุดออกจากระดับนั้น หลังจากนั้นกลับขึ้นมาเทียบกับระดับที่สูงสุดอีกครั้ง (ครั้งที่ 2) หลังจากครั้งที่ 2, ราคาลงอีกครั้ง แสดงถึงการตกต่ำของแนวโน้มและอาจเป็นสัญญาณที่นักลงทุนใช้ในการขายหรือเปิดตำแหน่งขายสั้น.
    2. Double Bottom (ดับเบิ้ลบอตตอม): ราคาเคลื่อนลงและสร้างระดับต่อจากนั้นเจอกับระดับต่ำสุด (ครั้งที่ 1) ราคาขึ้นมาและหลุดออกจากระดับนั้น หลังจากนั้นกลับลงมาเทียบกับระดับที่ต่ำสุดอีกครั้ง (ครั้งที่ 2) หลังจากครั้งที่ 2, ราคาขึ้นอีกครั้ง แสดงถึงการขึ้นของแนวโน้มและอาจเป็นสัญญาณที่นักลงทุนใช้ในการซื้อหรือเปิดตำแหน่งซื้อสั้น.
  3. รูปแบบของ Indicator:มี indicator ที่เป็น oscillator และ indicator ที่เป็น Trend Following สามารถใช้ในการกำหนดแนวรับแนวต้านได้ เช่น การใช้ Moving Average ในการสร้างแนวรับแนวต้าน หรือการใช้ Stochastic ในการกำหนดแนวรับแนวต้านผ่าน Overbought และ Oversold Zone ตัวอย่างเช่น
    • Indicator ประเภท Oscillator: เช่น Stochastic หรือ Relative Strength Index (RSI) สามารถใช้ในการหาระดับแนวรับแนวต้านผ่านการตรวจสอบการอยู่ในโซน Overbought และ Oversold.
    • Indicator ประเภท Trend Following: เช่น Moving Average สามารถใช้ในการหาแนวรับแนวต้านโดยใช้เส้น Moving Average เป็นตัวช่วยในการวิเคราะห์แนวโน้มราคา.

ประโยชน์ของแนวรับแนวต้าน

การเรียนรู้และการใช้งานแนวรับแนวต้านเป็นสิ่งสำคัญในการวิเคราะห์ตลาดและการบริหารความเสี่ยงในการลงทุน การรู้เรื่องและการใช้งานแนวรับและแนวต้านมีประโยชน์มากมายในการซื้อขายในตลาดการเงินและหุ้นดังนี้

  1. ช่วยในการตัดสินใจในการเปิดสัญญา Buy หรือ Sell: การทราบระดับแนวรับและแนวต้านช่วยในการตัดสินใจว่าเราควรซื้อ (Buy) หรือขาย (Sell) ในตลาดในขณะใด ถ้าราคาเข้าใกล้แนวรับและมีสัญญาณการแกว่งกลับขึ้น เราอาจพิจารณาที่จะเปิดสัญญา Buy และในทางกลับกัน ถ้าราคาเข้าใกล้แนวต้านและมีสัญญาณการแกว่งกลับลง เราอาจพิจารณาที่จะเปิดสัญญา Sell.
  2. ช่วยในการกำหนดระดับการเข้า-ออกตลาด: แนวรับแนวต้านช่วยในการกำหนดระดับที่ดีในการวางแผนการเข้า-ออกตลาด เมื่อราคาเข้าใกล้แนวรับเราสามารถตั้งระดับการหยุดขาดทุน (Stop Loss) ใกล้ๆ แนวรับเพื่อป้องกันความเสี่ยง และเมื่อราคาไปใกล้แนวต้าน เราสามารถตั้งระดับการเข้า-ออกตลาด (Take Profit) ใกล้ๆ แนวต้านเพื่อเข้าถึงกำไร.
  3. ช่วยในการวิเคราะห์กรอบราคา: แนวรับแนวต้านช่วยในการมองเห็นกรอบราคาของการวิ่งไปได้อย่างชัดเจน โดยมันช่วยในการระบุพื้นที่ที่ราคามักจะขึ้นและลง และช่วยให้นักลงทุนมีความเข้าใจเกี่ยวกับการวิเคราะห์แนวโน้มของราคาในระยะเวลาที่กำหนด.
  4. เป็นตัวช่วยในการจัดการความเสี่ยง: การใช้แนวรับแนวต้านช่วยในการจัดการความเสี่ยงในการลงทุน โดยการตั้งระดับ Stop Loss และ Take Profit ที่มีพื้นฐานบนแนวรับแนวต้าน ช่วยลดความเสี่ยงในการเสียเงินมากเมื่อตลาดเคลื่อนที่ตรงกันข้ามกับที่เราคาดหวัง.
  5. สามารถใช้ร่วมกับเครื่องมือและวิเคราะห์อื่น ๆ: แนวรับแนวต้านสามารถใช้ร่วมกับเครื่องมือและวิเคราะห์อื่น ๆ เช่น อินดิเคเตอร์และรูปแบบราคา เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจในการเปิดสัญญา Buy หรือ Sell.
  6. ช่วยในการวิเคราะห์เทรนด์ราคา: การตรวจสอบแนวรับแนวต้านช่วยในการรับรู้เทรนด์ราคาของตลาดว่ามีแนวโน้มที่ชัดเจนไปทางใด ทำให้นักลงทุนสามารถจัดเตรียมกับเทรนด์และทำกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพ.

วิธีวิเคราะห์แนวรับแนวต้านในตลาด forex

การวิเคราะห์แนวรับแนวต้านในตลาด Forex เป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยให้นักลงทุนทำความเข้าใจเกี่ยวกับระดับราคาที่สำคัญและช่วยในการตัดสินใจในการเทรดอย่างมีประสิทธิภาพ. นี่คือขั้นตอนวิธีการวิเคราะห์แนวรับแนวต้านในตลาด Forex:

  1. เลือกกรอบเวลา (Timeframe) ที่เหมาะสม: การวิเคราะห์แนวรับแนวต้านเริ่มต้นด้วยการเลือกกรอบเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเทรดของคุณ กรอบเวลาที่ใช้มากที่สุดในการวิเคราะห์แนวรับแนวต้านคือ Daily (D1) และ Hourly (H1) แต่คุณสามารถใช้กรอบเวลาอื่นๆ ได้ตามความสะดวก.
  2. ราคาสูงสุดและราคาต่ำสุด (Highs and Lows): ดูที่ราคาสูงสุด (High) และราคาต่ำสุด (Low) ในกรอบเวลาที่คุณเลือก ราคาสูงสุดจะเป็นแนวต้าน และราคาต่ำสุดจะเป็นแนวรับในกรอบนั้น.
  3. การวาดเส้นแนวรับแนวต้าน: หลังจากคุณระบุราคาสูงสุดและราคาต่ำสุด ใช้เส้นเครื่องมือวาดแนวรับแนวต้านบนกราฟ ระบุระดับราคาที่ราคาสุดสามารถพุ่งขึ้นและถล่มลงในอดีต แนวรับคือระดับที่ราคาถล่มลงและเริ่มขึ้น แนวต้านคือระดับที่ราคาพุ่งขึ้นและเริ่มถล่มลง.
  4. การใช้ Fibonacci Retracement: หากคุณมีความชอบในการใช้ Fibonacci, คุณสามารถใช้ Fibonacci Retracement เพื่อระบุระดับแนวรับแนวต้านที่สำคัญ โดยระบุจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดในการวิเคราะห์แล้วลากเส้น Fibonacci บนกราฟ.
  5. การใช้ Indicator: บางนักเทรดมักใช้ indicator เช่น Moving Averages, Bollinger Bands, หรือ Relative Strength Index (RSI) เพื่อช่วยในการระบุแนวรับแนวต้าน. ตัวบ่งชี้เหล่านี้อาจช่วยให้คุณรับรู้แนวโน้มของตลาดและระดับราคาที่สำคัญ.
  6. การตรวจสอบข่าวสาร: ตรวจสอบปฏิทินข่าวเศรษฐกิจและเหตุการณ์ที่อาจมีผลต่อตลาด Forex การประมาณการของเหตุการณ์สำคัญอาจช่วยคุณในการระบุแนวรับแนวต้านที่มีความเสี่ยง.
  7. การสร้างแผนการเทรด: หลังจากคุณระบุแนวรับแนวต้านที่สำคัญ สร้างแผนการเทรดที่ครอบคลุมการจัดการความเสี่ยงและกำหนดเป้าหมายกำไรและขาดทุน.
  8. การทดลองและเฝ้าดู: ทดลองเทรดหรือเฝ้าดูตลาดในระยะเวลาหนึ่งเพื่อดูว่าแนวรับแนวต้านที่คุณระบุมีความเสถียรหรือไม่ และจะช่วยในการปรับปรุงแผนการเทรดของคุณ.

ข้อควรระวังการใช้แนวรับแนวต้าน

การใช้แนวรับแนวต้านในการเทรดเป็นเรื่องที่ต้องระวังและต้องมีความระมัดระวัง เพื่อป้องกันความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการทำกำไร นี่คือข้อควรระวังที่เทรดเดอร์มือใหม่ควรทราบ:

  1. ไม่มีการรับรองว่าแนวรับแนวต้านจะถูกตาม: แนวรับแนวต้านเป็นระดับราคาที่มีโอกาสที่ราคาจะทำการกลับตัว แต่ไม่มีการรับรองว่ามันจะเกิดขึ้นทุกครั้ง การที่ราคาพุ่งผ่านแนวรับหรือแนวต้านไม่ได้หมายความว่ามันจะกลับตัวอัตโนมัติ ควรมีการใช้ตรรกะอื่น ๆ ร่วมกับการวิเคราะห์.
  2. ระมัดระวังในการเทรดในช่วงข่าว: ในช่วงเวลาที่ข่าวส่งผลกระทบใหญ่ในตลาด (เช่น การประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ) ราคามักเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและไม่คงที่ การใช้แนวรับแนวต้านในช่วงนี้อาจไม่มีประสิทธิภาพ ควรระมัดระวังและเลี่ยงการเทรดในช่วงข่าว.
  3. การระบุแนวรับแนวต้านที่ถูกต้อง: การระบุแนวรับแนวต้านที่ถูกต้องเป็นเรื่องสำคัญ ควรใช้เครื่องมือและเทคนิคที่เหมาะสม เช่น เส้นแนวโน้ม หรือ Moving Average เพื่อช่วยในการตีแนวรับแนวต้านอย่างแม่นยำ.
  4. การจัดการความเสี่ยง: ควรใช้การจัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ใช้ Stop Loss เพื่อกำหนดระดับที่คุณพร้อมรับความขาดทุน และระดับ Take Profit เพื่อกำหนดระดับที่คุณตั้งใจทำกำไร.

Author

  • thaiforexsupport

    ประสบการณ์การเทรด Forex ตั้งแต่ปี 2013 เข้าตลาด Forex เลยสร้างเว็บมาเพื่อแบ่งปันข้อมูลการเทรด และเทคนิค

    View all posts